TFG เผชิญปัจจัยกดดันอาหารสัตว์ขยับกระทบต้นทุน กูรูชี้ราคาสะท้อนผลกระทบไปแล้ว เคาะเป้า 5.10 บ. แนะ “ซื้อ”

603

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ บมจ.ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป หรือ TFG ว่า ฝ่ายวิจัยคาดกำไรสุทธิของ TFG ในไตรมาส 3/63 จะอยู่ที่ 631 ล้านบาท (+7.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY), +46.5% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)) ตามรายได้จากธุรกิจหมูที่เพิ่มขึ้น แต่หากไม่รวมรายการที่ไม่เกี่ยวกับการดำเนินงาน กำไรจากธุรกิจหลักจะอยู่ที่ 592 ล้านบาท (-5.1% YoY, +29.0% QoQ) โดยกำไรที่ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นเพราะไม่มีรายการเครดิตภาษี

ฝ่ายวิจัยคาดว่ารายได้รวมในไตรมาส 3/63 จะอยู่ที่ 7.8 พันล้านบาท (+4.8% YoY, +9.4% QoQ) เนื่องจากปริมาณยอดขายไก่และหมูเพิ่มขึ้นหลังผ่อนคลายมาตรการ lockdown ในขณะเดียวกัน คาดว่า GPM จะเพิ่มขึ้นเป็น 15.4% ในไตรมาส3/63 จาก 15.1% ในไตรมาส3/62 เนื่องจากราคาหมูที่ยืนในระดับสูง ในขณะเดียวกัน คาดว่าสัดส่วน SG&A ต่อรายได้จะลดลงเหลือ 5.3%ในไตรมาส3/63 จาก 5.7% ในไตรมาส3/62 เนื่องจากฐานรายได้ใหญ่ขึ้น

ราคาอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้นน่าจะส่งผลในปี 2564 ในขณะที่ JV ใหม่จะช่วยให้ธุรกิจหมูแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ราคาหมูเฉลี่ยอยู่ที่ 79.50 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) ในไตรมาส3/63 (+24.6% YoY, +21.0% QoQ) ส่วนทางด้านต้นทุนอาหารสัตว์ ราคาข้าวโพดเฉลี่ยอยู่ที่ 9.30 บาท/กก. (+1.4% YoY, +4.1% QoQ) ในขณะที่ราคากากถั่วเหลืองเฉลี่ยอยู่ที่ 13.40 บาท/กก. (-1.0% YoY, +2.1% QoQ)

ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าผลกระทบจากต้นทุนอาหารสัตว์ที่แพงขึ้น โดยเฉพาะกากถั่วเหลือง จะส่งผลกระทบเต็มที่ในปี 2564 นอกจากนี้ เมื่อไม่นานนี้ TFG ได้แจ้ง SET ว่า T Paragon Holding Co.,Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ TFG ถือหุ้น 100% จะเข้าถือหุ้น 50% ใน Thaifoods Nucleus Genetics Co.,Ltd. (TNG) ซึ่งมีทุนจดทะเบียน 235 ล้านบาท และประกอบธุรกิจฟาร์มสุกรระดับพันธุ์ ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยยังไม่ได้รวมปัจจัยนี้เข้าไว้ในประมาณการของฝ่าย เนื่องจากยังไม่ทราบรายละเอียดที่ชัดเจน

ปรับลดประมาณการกำไรลงเพื่อสะท้อนถึงต้นทุนอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้น
ฝ่ายวิจัยได้ปรับลดประมาณการกำไรปี 2564-65 ลง 4.2% และ 3.4% เพื่อสะท้อนถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นตามหลังของต้นทุนอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้น โดยปรับเพิ่มสมมติฐานราคากากถั่วเหลืองปี 2564-65 ขึ้นอีก 6.9%/6.1% ในขณะที่ปรับเพิ่มราคาข้าวโพดในปี 2564-65 ขึ้นอีก 1.1% ดังนั้น จึงปรับลดสมมติฐาน GPM ลงมาอยู่ในช่วง 12.2%-12.3% จากเดิมที่ 12.4%-12.6%

ถ้าหากผลประกอบการไตรมาส 3/63 เป็นไปตามที่ได้ประมาณการไว้ โดยกำไรใน 9 เดือนแรกของปี63 จะคิดเป็น 86.7% ของประมาณการปีนี้ ซึ่งเมื่ออิงตามประมาณการใหม่ ทำให้ฝ่ายวิจัยได้ราคาเป้าหมายปี 2564 ใหม่ที่ 5.10 บาท อิงจาก PER เป้าหมายเท่าเดิมที่ 15.9x โดยเชื่อว่าราคาหุ้นที่ปรับลดลงมาในช่วงนี้ สะท้อนความกังวลเรื่องต้นทุนอาหารสัตว์ที่แพงขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งราคาปิดล่าสุดคิดเป็น PER ปี 2564F แค่ 13.5x เท่านั้น ดังนั้น จึงยังคงคำแนะนำ ซื้อ TFG

www.mitihoon.com