มิติหุ้น-บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2563 ยังเติบโตตามเป้าหมาย และปรับตัวดีกว่าไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในต่างประเทศ ประกาศความก้าวหน้าการลงทุนในธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งธุรกิจเชื้อเพลิงและระบบสาธารณูปโภค และธุรกิจ Smart Energy Solution ต่อยอดการเติบโตอย่างยั่งยืน
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า “ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ปี 2563 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 บริษัทมีกําไรจากการดำเนินงาน (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี การด้อยค่าของสินทรัพย์ การวัดมูลค่าเครื่องมือทางการเงิน และ การรับรู้รายได้แบบสัญญาเช่า) จำนวน 2,839 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 275 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ปี 2562 โดยสาเหตุหลักมาจากผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ได้แก่ โรงไฟฟ้าไซยะบุรี โรงไฟฟ้าพาจู โรงไฟฟ้าซานบัวนาเวนทูรา และโรงไฟฟ้าเคซอน เป็นต้น ทั้งนี้ หากพิจารณาผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทมีกําไรจากการดำเนินงาน จำนวน 7,641 ล้านบาท ลดลง 432 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นผลให้หลายประเทศมีแนวโน้มการใช้ไฟฟ้าที่ลดลงก็ตาม
ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2563 จนถึงปัจจุบัน เอ็กโก กรุ๊ป มีความก้าวหน้าในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยโรงไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง “กังดง” กำลังการผลิตติดตั้ง 19.8 เมกะวัตต์ ในเกาหลีใต้ ได้เริ่มเดินเครื่อง เชิงพาณิชย์และจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้ว เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2563 โดยจะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาสที่ 4 เป็นต้นไป นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ป ยังได้ร่วมกับบริษัทในกลุ่ม กฟผ. ได้แก่ บริษัท กฟผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และบริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ลงนามสัญญา Joint Development Agreement (JDA) เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อน “กวางจิ 1” กำลังการผลิตติดตั้ง 1,320 เมกะวัตต์ ในเวียดนาม เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2563 รวมทั้งยังได้ลงนามในสัญญาเงินกู้ จำนวน 7,800 ล้านบาท เพื่อใช้พัฒนาและก่อสร้างโครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2563
ด้านโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 3 โครงการ ซึ่งมีความก้าวหน้าตามแผนงาน ประกอบด้วยโครงการโรงไฟฟ้า 2 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานลม นอกชายฝั่งทะเล “หยุนหลิน” ในไต้หวัน ก่อสร้างแล้วเสร็จ 61% ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ใน ไตรมาสที่ 3 ปี 2564 โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ “น้ำเทิน 1” ใน สปป.ลาว ก่อสร้างแล้วเสร็จ 78% ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในไตรมาสที่ 2 ปี 2565 นอกจากนี้ ยังมีโครงการธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง 1 โครงการ ได้แก่ โครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก่อสร้างแล้วเสร็จ 50% ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการในไตรมาสที่ 4 ปี 2564
สำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา นายเทพรัตน์ กล่าวว่า “เอ็กโก กรุ๊ป มุ่งมั่นขยายขอบเขต การดำเนินธุรกิจทั้งด้านการผลิตและให้บริการด้านพลังงาน ครอบคลุมธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งยังคงเป็นธุรกิจหลัก ทั้งโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและพลังงานหมุนเวียนทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งแสวงหาโอกาส การลงทุนใหม่ในธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ ธุรกิจเชื้อเพลิงและระบบสาธารณูปโภค ปัจจุบันบริษัทเตรียมยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper) ต่อคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) โดยจะนำเข้า LNG เพื่อมาใช้ในโรงไฟฟ้าของกลุ่มบริษัท ในปริมาณราว 200,000 ตัน/ปี ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนเชื้อเพลิง ทำให้สามารถแข่งขันได้มากขึ้นด้วย
ในขณะที่ความคืบหน้าในการลงทุนในธุรกิจ Smart Energy Solution ในฐานะผู้ให้บริการด้านนวัตกรรมพลังงานอย่างครบวงจร ได้แก่ โครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเอ็กโกระยอง ปัจจุบันโครงการผ่าน การประเมินการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) เรียบร้อยแล้ว และได้รับการอนุมัติจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ให้สามารถจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเอ็กโกระยอง ลักษณะ Smart Industrial Estate อำเภอเมือง จังหวัดระยอง พื้นที่ประมาณ 600 ไร่ แล้ว โดยจะเข้าสู่กระบวนการลงนามสัญญาอย่างเป็นทางการกับ กนอ.ต่อไป โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาพัฒนาพื้นที่และระบบสาธารณูปโภค ภายใน 2 ปี และสามารถเปิดให้บริการได้ภายในปี 2565 นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการ Solar Solution Provider เพื่อให้บริการด้านผลิตภัณฑ์และระบบโซลาร์เซลล์ระดับพรีเมี่ยมอย่างครบวงจร โดยจะเน้นกลุ่มเป้าหมายลูกค้าอุตสาหกรรมและอาคารพาณิชย์
“ในฐานะซีอีโอใหม่ ผมมองเป้าหมายเรื่องการมาต่อยอดและสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องให้กับเอ็กโก กรุ๊ป โดยใช้จุดแข็งและศักยภาพที่บริษัทมีอยู่แล้วในการขยายการลงทุนทั้งธุรกิจผลิตไฟฟ้าและธุรกิจพลังงาน ที่เกี่ยวเนื่อง รวมทั้งแสวงหาโอกาสขยายธุรกิจไปยังธุรกิจเชื้อเพลิงและระบบสาธารณูปโภคเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถเติบโตต่อเนื่องและแข่งขันได้ในสภาพเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไฟฟ้าในปัจจุบัน” นายเทพรัตน์ กล่าวสรุป
www.mitihoon.com