WHA Group กำไรปกติ Q3 ทรงตัว ส่งซิกข่าวดีส่งท้ายปี -Q4 ฟื้นตัวโดดเด่น -พร้อมจ่ายปันผลระหว่างกาล จ่อขายสินทรัพย์เข้า WHART และ HREIT กว่า 4,600 ล้านบาท

97

 

มิติหุ้น- บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA Group แจงกำไรปกติจากผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2563 อยู่ในระดับทรงตัวจากปีก่อน พร้อมระบุ ฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง        พร้อมจ่ายปันผลระหว่างกาลงวด 9 เดือน ในอัตราหุ้นละ 0.0367 บาท  ส่งซิกไตรมาส 4/2563 ผลการดำเนินงานฟื้นตัวโดดเด่น จ่อบุ๊ครายได้ จากการขายทรัพย์สินเข้ากองทรัสต์ WHART และ HREIT กว่า 4,600 ล้านบาท ด้าน “จรีพร จารุกรสกุล” Group CEO WHA ระบุ ความต้องการพื้นที่เช่าคลังสินค้า BTS ยังดีต่อเนื่อง ส่วนนิคมอุตสาหกรรม นักลงทุนต่างชาติ เตรียมเข้ามาลงทุนเพียบ รอสัญญาณภาครัฐผ่อนปรนเปิดทาง ด้านการลงทุนในเวียดนาม เดินหน้าตามแผนงาน คาดเปิดโซนใหม่ปี 2564 ขณะที่ธุรกิจสาธารณูปโภค ส่อแววฟื้นตัว เชื่อลูกค้าใช้บริการน้ำ-ไฟฟ้า เพิ่มขึ้น

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไร และกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,611.4 ล้านบาท และ 428.6 ล้านบาท ตามลำดับ โดยเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ และกำไรสุทธิปกติทั้งสิ้น 1,609.0 ล้านบาท และ 440.7 ล้านบาท ลดลง 28.0% และ 3.6% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2562 ด้านผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรก บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น 4,855.9 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,069.9 ล้านบาท โดยหากพิจารณาถึงผลประกอบการปกติ บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงาน 4,893.4 ล้านบาท และกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 1,155.3 ล้านบาท ลดลง 26.4% และ 25.6% ตามลำดับจากปีที่แล้ว

ทั้งนี้สาเหตุหลักมาจากการโอนที่ดินที่ยังคงเลื่อนออกไปเนื่องจากมาตรการจำกัดการเดินทางเข้าประเทศ ประกอบกับการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรที่ลดลงของโรงไฟฟ้า Gheco-One และค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนโครงการสาธารณูปโภค อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงมั่นใจในความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงิน และผลประกอบการไตรมาส 4 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวด 9 เดือน ในอัตราหุ้นละ 0.0367 บาท โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 และกำหนดการจ่ายเงินปันผล ในวันที่ 9 ธันวาคม 2563 ตามลำดับ

ธุรกิจโลจิสติกส์ ยังคงดีอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาส 3 บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 302.0 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา รวมถึงปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาให้เช่าพื้นที่คลังสินค้าอีกกว่า 200,000 ตารางเมตร กับกลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจอาหาร และธุรกิจโลจิสติกส์ ซึ่งจะส่งผลทำให้พื้นที่คลังสินค้าภายใต้การถือครองและบริหารทั้งหมดของบริษัทฯ มีมากกว่า 2,500,000 ตารางเมตร ภายในสิ้นปีนี้

สำหรับการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ก็เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ โดยคาดว่าจะโอนทรัพย์สินและสามารถรับรู้รายได้จากการขายทรัพย์สินเข้ากองทรัสต์ WHART และ HREIT มูลค่าทรัพย์สินรวมประมาณ 4,600 ล้านบาท ได้ภายในเดือนธันวาคมนี้

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม บริษัทฯ รับรู้รายได้จากการโอนที่ดินไตรมาส 3 เท่ากับ 112.0 ล้านบาท โดยมีการชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและการขายที่ดินใหม่ ยังคงเลื่อนออกไปจากมาตรการจำกัดการเดินทาง อย่างไรก็ตาม ไตรมาสที่ผ่านมาบริษัทฯ มีรายได้ค่าสิทธิในการผ่านทางเข้ามาหนุน จำนวน 307.9 ล้านบาท ทำให้กำไรขั้นต้นจากธุรกิจที่ดินและการขายอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 เท่ากับ 94.4 ล้านบาท

ขณะที่ ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนาม เขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน – 1 เหงะอาน ก็ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดบริษัท เกอร์เท็ก พรีซิชั่น อินดัสทรี เวียดนาม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านระบบเครื่องกลไฟฟ้าจุลภาค (MEMS) ระดับโลกจากประเทศจีน ได้ซื้อที่ดินจำนวน 253 ไร่จากบริษัทฯ เพื่อสร้างโรงงานสำหรับการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เพื่ออุปกรณ์เคลื่อนที่ เช่น หูฟังแอร์พอด เป็นต้น บริษัทฯคาดว่า ยอดขายที่ดินในประเทศเวียดนามปีนี้ จะสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทำให้ปี 2564 บริษัทฯ มีแผนเตรียมการลงทุนพัฒนาพื้นที่เขตอุตสาหกรรมในโซน 2 และ 3 ของเฟส 1 เพื่อรองรับนักลงทุนที่สนใจเพิ่มเติม

ธุรกิจสาธารณูปโภค บริษัทฯ รับรู้รายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภค ในไตรมาส 3 เท่ากับ 493.1 ล้านบาท โดยปริมาณขายน้ำรวมมีการปรับตัวดีขึ้นจากปริมาณยอดขายที่เพิ่มขึ้นในประเทศเวียดนาม ส่วนประเทศไทยปริมาณยอดขายในไตรมาสนี้ยังคงอยู่ในระดับเดียวกันกับไตรมาสที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ คาดว่าในไตรมาส 4 ยอดจำหน่ายน้ำจะมีทิศทางการเติบโตที่ดีขึ้นจากการกลับเข้าสู่การดำเนินการผลิตปกติของผู้ใช้น้ำและการขยายกำลังการผลิตของลูกค้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการปิโตรเคมีซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทฯ

นอกจากนี้ บริษัทฯ มีการขยายผลิตภัณฑ์และบริการด้านนวัตกรรมน้ำอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการ Reclamation Plant ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยของบริษัทฯ จะเปิดดำเนินการผลิต 25,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวันได้ในเดือนธันวาคมปีนี้ รวมถึงบริษัทฯ ได้มีการลงนามในสัญญาน้ำปราศจากแร่ธาตุ (Demineralized Water) เฟสที่ 2 เพิ่มเติมกับบริษัท GPSC เพื่อจำหน่ายน้ำปราศจากแร่ธาตุอีก 4,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน โดยจะเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ภายในเดือนธันวาคมนี้เช่นกัน

ในส่วนของ ธุรกิจไฟฟ้า กลุ่มบริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรปกติจากการดำเนินงานจากการลงทุนบริษัทร่วมและบริษัทร่วมค้าไม่นับรวมกำไร/ ขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาส 3 อยู่ที่ 240.6 ล้านบาท เนื่องจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรทางบัญชีจากโรงไฟฟ้า Gheco-One ที่ลดลงจากหลายปัจจัย เช่น อัตราค่าความพร้อมจ่ายที่ลดลงตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และการเริ่มจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตรา 10% เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรจากปริมาณยอดขายไฟฟ้าที่ปรับตัวดีขึ้นจากกลุ่มธุรกิจ SPP และโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม ชลบุรี คลีน เอ็นเนอร์ยี่ (CCE) ตลอดจนการทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการ Solar เพิ่มเติมอีก 7 เมกะวัตต์ ส่งผลให้กำลังการผลิตพลังงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์รวมอยู่ที่ 27 เมกะวัตต์ ณ ไตรมาส 3 ที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ คาดว่าภายในสิ้นปีนี้ จะมีกำลังการผลิตพลังงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งสิ้น 42 เมกะวัตต์ ซึ่งจะคิดเป็นรายได้รวมต่อปีกว่า 150 ล้านบาท

ธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการเล็งเห็นความสำคัญของการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในกระบวนการผลิตและบริหารจัดการเพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีการให้บริการด้านดิจิทัลที่ครอบคลุมทั้งดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบเน็ตเวิร์ก การให้บริการโครงข่าย FTTx ตลอดจน Cloud และ Managed Service รวมถึงโซลูชั่นต่างๆ เพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มโลจิสติกส์และนิคมอุตสาหกรรมซึ่งในอนาคตสามารถต่อยอดไปสู่การให้บริการด้านเทคโนโลยี 5G อีกด้วย

สุดท้ายนี้ อีกหนึ่งความสำเร็จ ของ WHA GROUP คือ การเปิดตัวโครงการ ดับบลิวเอชเอทาวเวอร์ (WHA Tower) อาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ ที่เพิ่งคว้ารางวัล Asia Pacific Property Awards ด้านสุดยอด “สถาปัตยกรรมอาคารสำนักงานแบบไฮไรส์ ประจำประเทศไทย (Commercial High Rise Architecture Thailand)” ที่โดดเด่นด้วยแนวเส้นโค้งไล่ระดับ ผสมผสานการออกแบบจากแรงบันดาลใจของอักษรจีนโบราณซึ่งสื่อถึงพลัง ความมั่นคงและมั่งคั่ง ตัวอาคารตั้งอยู่บนถนนเทพรัตน ก.ม.7 (ถนนบางนา-ตราด เดิม) เชื่อมต่อกับกรุงเทพฯ ชั้นใน และสามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังพื้นที่อีอีซีได้อย่างสะดวกสบาย โดยพร้อมเปิดโครงการในไตรมาส 1/2564 นี้ โครงการดับบลิวเอชเอ ทาวเวอร์ เป็นอาคารสูง 25 ชั้น เกรดเอ มีพื้นที่ใช้สอยกว่า 52,000 ตารางเมตร ประกอบด้วยพื้นที่สำนักงานและพื้นที่เปิดส่วนกลางเพื่อตอบโจทย์การทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรมและการทำงานร่วมกัน เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ บริษัทข้ามชาติ ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และสตาร์ทอัพ ที่ต้องการพื้นที่ทำงานแบบเปิดกว้างเพื่อกระตุ้นให้เกิดการทำงานประสานกัน

www.mitihoon.com