TMILL อวดกำลังผลิตพุ่งเกิน72%-ดันกำไรพุ่งแตะ 92.68ลบ.

311

มิติหุ้น-TMILL  อวดกำไร Q3/63  ที่ 25.43 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น  15.5% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 3/62  ดันผลงาน 9 เดือนแรกปี 63 กำไรพุ่งแตะ 92.68  ล้านบาท   เพิ่มขึ้น 23.84 ล้านบาท หรือ 34.6% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีผลกําไรสุทธิ  68.83  ล้านบาท หลังอัตรากําไรขั้นต้นสูงขึ้น  พร้อมโชว์อัตรากําลังการผลิต 72.99%

นางแววตา กุลโชตธาดา รองผู้อํานวยการฝ่ายการเงินและบัญชี บริษัท ที เอส ฟลาวมิลล์ จํากัด (มหาชน)  TMILL โรงงานโม่แป้งสาลีรายใหญ่และมีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยที่สุดในประเทศ   เปิดเผยว่า  ผลประกอบการไตรมาส 3/2563  บริษัทฯ มีกําไรสุทธิ 25.43 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 3.40 ล้านบาท คิดเป็น 15.5% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 3/2562 ที่มีกําไรสุทธิ 22.02   ล้านบาท    เนื่องจากอัตราต้นทุนขายในไตรมาส 3/2563 ลดลง 0.5% และอัตรากําไรขั้นต้นในไตรมาส 3/2563 สูงขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากต้นทุนของข้าวสาลีที่ใช้ในไตรมาส 3/2563 นี้ถูกกว่าไตรมาส 3/2562 เนื่องจากราคาข้าวที่มีการทําสัญญาซื้อตั้งแต่กลางปีก่อน ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าในช่วงปลายปีก่อน

ขณะที่บริษัทฯ มีรายได้จากการจําหน่ายในไตรมาส 3/2563 ลดลง 3.9% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยที่รายได้จากการจําหน่ายแป้งสาลีลดลง 4.5% ส่วนรายได้จากการจําหน่ายรําข้าวสาลีเพิ่มขึ้น 0.6% ทั้งนี้ปริมาณการจําหน่ายแป้งสาลีและรําข้าวสาลีลดลง 1.6% และ 4.1% ราคาจําหน่ายแป้งสาลีเฉลี่ยลดลง 3.7% เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาตลาดมีการแข่งขันด้านราคาสูงขึ้น จึงทําให้มีการปรับลดราคาจําหน่ายแป้งสาลีลง ส่วนราคาจําหน่ายรําข้าวสาลีเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 9.5%

สำหรับไตรมาส 3/2563 ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโรคระบาด COVID-19 ไม่มากนัก เนื่องจากการใช้อัตรากําลังการผลิตเฉลี่ยในไตรมาส 3/2563 ยังอยู่ที่ระดับ 71.44%

นางแววตา กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 2563  บริษัทฯ มีกําไรสุทธิ 92.68 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 23.84 ล้านบาท คิดเป็น 34.6%  เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีผลกําไรสุทธิ68.83  ล้านบาท  เนื่องจากต้นทุนข้าวสาลีที่ใช้ในปี 2563 นี้ถูกกว่าปี 2562 จากราคาข้าวที่มีการทําสัญญาซื้อตั้งแต่กลางปีก่อน ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าในช่วงปลายปีก่อน ส่งผลให้อัตราต้นทุนขายใน 9 เดือนแรกของปี 2563 ลดลง 2.8% และอัตรากําไรขั้นต้นสูงขึ้น 2.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

ด้านการใช้อัตรากําลังการผลิตเฉลี่ยใน 9 เดือนแรกของปี 2563 อยู่ที่ 72.99% เพิ่มขึ้น 0.34% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แสดงให้เห็นว่าบริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโรคระบาด COVID-19 ไม่มากนัก นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารใน 9 เดือนแรกของปี 2563 ลดลง 8.11 ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากค่าขนส่งสินค้าที่ลดลงตามราคาน้ำมัน ค่าเช่าตามสัญญาระยะยาวที่มีการปรับไปอยู่ในต้นทุนทางการเงินบางส่วน และการปรับประมาณการสวัสดิการให้กับพนักงาน

อย่างไรก็ตามรายได้จากการจําหน่ายใน 9 เดือนแรกของปี 2563  ลดลง 3.5% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยที่รายได้จากการจําหน่ายแป้งสาลีลดลง 2.8% และรายได้จากการจําหน่ายรําข้าวสาลีลดลง 0.6% ทั้งนี้ ถึงแม้ปริมาณการจําหน่ายแป้งสาลีและรําข้าวสาลีเพิ่มขึ้น 1.3% และ 2.5% แต่ราคาจําหน่ายแป้งสาลีและรําข้าวสาลีเฉลี่ยลดลง4.5% และ 6.7% เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาตลาดมีการแข่งขันด้านราคาสูงขึ้น ประกอบกับลูกค้าต่อรองราคาโดยอ้างอิงราคาตลาดข้าวสาลีโลกที่ลดลงและค่าเงินบาทที่แข็งค่าในปีที่ผ่านมา จึงทําให้มีการปรับลดราคาจําหน่ายแป้งสาลีลง

พร้อมกันนี้ บริษัทฯ มุ่งมั่นจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ  โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ  คร้ังที่9/2563 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระวางกาลจากผลการดำเนินงานของบริษัท ตั้งแต่วันที่1 มกราคม 2563ถึง วันที่ 30 มิถุนายน 2563  ให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท โดยขึ้นเครื่องหมายวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD)  วันที่ 11 พฤศจิกายน  2563  ที่ผ่านมา  และมีกำหนดวันจ่ายปันผลในวันที่ 26 พฤศจิกายน  นี้

www.mitihoon.com