JWD โกยทรัพย์ก้อนโต ขนส่งวัคซีนโควิดข้ามชาติ (20/11/63)

610

มิติหุ้น-JWD ลุ้นคว้างานใหญ่ “ขนส่งวัคซีนโควิด-19” หลัง“บ.แอสตร้า เซนเนก้า” ผู้พัฒนาวัคซีนเลือกไทยเป็นฐานการผลิตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนผลงานไตรมาส 4/63 โตโดดเด่น เหตุไฮซีซั่นหนุนยอดพุ่ง ทั้งปี 63 ฟันกำไรสุทธิ 355 ล้านบาท แนะนำ “ซื้อ” เป้าหมาย 10 บาท

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า รายงานว่า กรณีที่ “บ.แอสตร้า เซนเนก้า” บริษัทผู้พัฒนาวัคซีนโควิด-19  ออกมาเปิดเผยว่า ประเทศไทยได้รับการคัดเลือกให้เป็นฐานการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของบริษัท  ซึ่งคาดว่าจะพัฒนาวัคซีนให้ใช้ได้และเริ่มผลิตประมาณกลางปี 64 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการทดลองวัคซีนโควิดตัวอย่างในระยะที่ 3  ซึ่งเป็นระยะสุดท้าย และมีความเป็นไปได้สูงที่จะประสบความสำเร็จ

                ลุ้นงานใหญ่ขนส่งวัคซีน

ด้าน “นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD  เปิดเผยว่า บริษัทจะได้รับอานิสงส์จากประเด็นเชิงบวกข้างต้น ให้บริษัทมีโอกาสได้รับงาน “ขนส่งวัคซีนโควิด-19” เพราะการที่บริษัทเป็นผู้ให้บริการห้องเย็นสาธารณะรายใหญ่ที่สุดในประเทศ และเป็นรายแรกที่ได้รับอนุญาตจากกรมศุลกากรให้เป็นห้องเย็นเขตปลอดอากร (Free Zone) รวมถึงให้บริการทางด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรภายในภูมิภาคอาเซียน จึงมีโอกาสได้รับงาน“ขนส่งวัคซีนโควิด-19” โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างขั้นตอนการเตรียมแผนงาน คาดว่าจะเห็นชัดเจนภายในต้นปี 64

ส่วนแนวโน้มผลงานไตรมาส 4/63 จะเติบโตกว่าไตรมาส 3/63 ที่มีกำไรสุทธิ 72.54 ล้านบาท และรายได้รวมที่ 1.02 พันล้านบาท เพราะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ซึ่งทุกธุรกิจจะเติบโตได้ดี  ประกอบกับอุตสาหกรรมยานยนต์ก็กลับมาฟื้นตัวดีขึ้น ส่วนธุรกิจใหม่ JWD Cold Chain Express Delivery ที่เริ่มให้บริการตั้งแต่ต้นปี ได้รับการตอบรับดีอย่างมาก

                รุกเพิ่มสัดส่วนขนส่งทำเงิน

ส่วนแผนธุรกิจช่วง 3 ปีข้างหน้า จะเน้นขยายสัดส่วน “ธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้า”มากยิ่งขึ้น จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนเพียง 13.8% เนื่องจากเป็นภาคธุรกิจที่เติบโตสูง ขณะที่ “ธุรกิจให้บริการขนย้ายในประเทศและต่างประเทศ”จะเน้นเวียดนาม กัมพูชา และอินโดนีเซีย โดยจะนำธุรกิจ B2B ที่ประสบความสำเร็จในประเทศไปขยายในกลุ่มอาเซียน

ล่าสุดสัดส่วนรายได้แบ่งเป็น ธุรกิจให้บริการรับฝากและบริหารสินค้า 56.5%,ธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้า 13.8%,ธุรกิจให้บริการขนย้ายในประเทศและต่างประเทศ 7.8%,ธุรกิจให้บริการรับฝากเอกสารและข้อมูล 3.1%,

ธุรกิจอาหาร 17.7% และ อื่นๆ 1.1%

                ฟันกำไร355ล.-เป้า10บ.

ด้าน “บล.เคทีบี(ประเทศไทย)” เปิดเผยว่า  แนวโน้มไตรมาส 4/63 คาดกำไรสุทธิจะฟื้นตัวต่อเนื่อง เพราะ 1.ธุรกิจห้องเย็นที่เป็นช่วง high season, 2.ธุรกิจรับฝากและบริหารรถยนต์จะดีขึ้น ตามยอดผลิตรถยนต์ที่ฟื้นตัว และ 3. ธุรกิจ barge terminal ที่ท่าเรือแหลมฉบัง จะมีรายได้เร่งตัวดีขึ้น นอกจากนั้นจะมีกำไรพิเศษจากการขายโครงการ built-to-suit ที่นิคมฯนวนคร เข้ากอง REIT คาดว่าจะมีกำไรไม่เกิน 10 ล้านบาท

ดังนั้นปี 63 คาดกำไรสุทธิที่ 355 ล้านบาท กลับมาเติบโตโดดเด่น 20%จากปีก่อ จากธุรกิจคลังห้องเย็นที่ยังคงโดดเด่น และจะรับรู้รายได้เต็มปีจากคลังห้องเย็นใหม่อาคาร 9 ขณะที่ธุรกิจรับฝากและบริหารรถยนต์, ธุรกิจให้บริการรับฝากและบริหารสินค้าอันตราย และ barge terminal ที่จะปรับตัวดีขึ้นจากฐานต่ำ แนะนำ “ซื้อ”เป้าหมาย 10 บาท