ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า กำไรสุทธิไตรมาส 3/63 ของตลาดหุ้นไทยฟื้นตัว 25% จากไตรมาสก่อน แต่หดตัว -32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 1.49 แสนล้านบาท ส่วนงวด ส่วนงวด 9 เดือนกำไรสุทธิลดลง 49% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 3.5 แสนล้านบาท แต่การหดตัวแรงอยู่ในคาดการณ์ของตลาดแล้ว
ส่วนกลุ่มที่กำไรสุทธิ 9 เดือนเติบโตสวนภาพรวม คือ 1. กลุ่มเกษตร – นำโดย STA 2. กลุ่มวัสดุก่อสร้าง – บริษัทที่กำไรเติบโตได้คือ COTTO, DCC, SCCC, TASCO 3. กลุ่มชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ – บริษัทที่เติบโตได้เป็น DELTA, KCE, SVI
และ 4. กลุ่มบรรจุภัณฑ์ – บริษัทที่กำไรขยายตัว คือ AJ, ALUCON, BGC, SFLEX, SMPC, SPACK, TCOAT, THIP,TOPP, TPBI และ 5. กลุ่มของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ – นำโดย STGT และมีบริษัทอื่นในกลุ่มนี้ที่กำไรเติบโตได้ด้วย เช่น APCO ,S&J, STHAI, TNR
ส่วนแนวโน้มไตรมาส 4/63 และทั้งปี 63 คาดว่ากลุ่มที่เกี่ยวกับการบริโภคและท่องเที่ยวในประเทศจะฟื้นตัวต่อ QoQ สำหรับกลุ่มชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์และส่งออกจะถูกกระทบจากค่าเงินบาทแข็ง กลุ่มธนาคารยังตั้งสำรอง ECL สูง กลุ่มพลังงานคาดว่าจะมีกำไรจากสต็อกเล็กน้อยถ้าราคาน้ำมันดิบทรงตัวอยู่ในระดับปัจจุบัน ซื้อสูงกว่าระดับปิดสิ้นไตรมาส 3/63 ประมาณ4-5% ส่วนกลุ่มอื่นๆ มีทั้งดีขึ้นและอ่อนลง แต่โดยภาพรวมในเบื้องต้นประเมินว่ามีโอกาสที่กำไรสุทธิตลาดหุ้นไทยในไตรมาส4/63F จะดีขึ้นต่อจากไตรมาสก่อน ซึ่งทำให้ทั้งปี 63 กำไรสุทธิโดยรวมจะ -47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 5.1 แสนล้านบาท (9เดือน 63 เท่ากับ 3.5แสนล้านบาท)
ฝ่ายวิจัยได้ปรับมุมมองที่ดีขึ้นใน 4 กลุ่มอุตสาหกรรม คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์, กลุ่มพลังงาน, กลุ่มท่องเที่ยวและขนส่ง เนื่องจากคาดว่าทั้ง 4 กลุ่มหลักได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วและกำลังทยอยฟื้นตัวโดยเศรษฐกิจที่กระเตื้องขึ้นทำให้ความเสี่ยงของสถาบันการเงินลดลง และฐานะเงินกองทุนธนาคารพาณิชย์ไทยมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะผ่านวิกฤตโควิด-19 ไปได้ (ธปท.จึงอนุมัติให้แบงค์จ่ายปันผลสำหรับปี 63 แบบมีเงื่อนไขได้คือ อัตราการจ่ายไม่เกินปี 62 และไม่เกิน 50% ของกำไรสุทธิ) ด้านราคาน้ำมันทยอยปรับขึ้น (แต่จะไม่เร็ว) มีโอกาสที่กลุ่มโอเปกพลัสจะเลื่อนการผลิตเพิ่ม 2 ล้านบาร์เรลออกไปอีก 3-6 เดือนเพราะโควิดระบาดระลอกใหม่ การท่องเที่ยวและเดินทางในประเทศคึกคักขึ้นจากมาตรการกระตุ้นของรัฐบาลและคาดว่าในปี 64F จะทยอยฟื้นตัว รวมทั้งเมื่อมีวัคซีนโควิดใช้อย่างแพร่หลายในอีก 12-15 เดือนข้างหน้า ธุรกิจก็จะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว สำหรับหุ้นเด่นเชิงกลยุทธ์ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ คือ KBANK
ส่วนกลุ่มพลังงานเป็น PTT, PTTEP และหุ้นเด่นกลุ่มท่องเที่ยวและขนส่งเป็น ERW, BEM, BTSGIF ส่วนกลุ่มที่เรายังคงชอบอยู่คือ อาหารและโรงพยาบาล เนื่องจากเกี่ยวข้องกับความจำเป็นในชีวิตประจำวัน และธุรกิจกำลังทยอยฟื้นตัว หุ้นเด่นในกลุ่มอาหาร คือ CPF, GFPT ส่วนกลุ่มโรงพยาบาลเป็น BDMS, CHG, RJH
www.mitihoon.com