NER สุดเฮงราคายางพุ่งกระฉูด รายใหญ่ป้อนดีลQ4แกร่ง (04/12/63)

612

มิติหุ้น-NER ส่งซิกผลงานไตรมาส 4/63 โตฉลุย ขานรับราคายางพาราพุ่ง 73.29 บาท/กก. ลุยส่งมอบออเดอร์ลูกค้ารายใหญ่ในจีน  มั่นใจทั้งปี 63 รายได้สุดพีค 1.7 หมื่นล้านบาท ส่วนปี 64 ทำนิวไฮทะลุ 2.1 หมื่นล้านบาท ปั๊มยอดขาย 4.10 แสนตัน ซุ่มดีลรายใหญ่เข้าพอร์ตเพิ่ม แถมรับทรัพย์ธุรกิจใหม่ 1 พันล้านบาท

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER ทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งในและต่างประเทศ โดย “นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า จากข้อมูลการยางแห่งประเทศไทยวานนี้ (3 ธ.ค.63) พบว่าราคายางแผ่นรมควัน (RSS) เฉลี่ยอยู่ที่ 73.29 บาท/กิโลกรัม (ราคากลางจาก จ.นครศรีธรรมราช)

ราคายางพุ่ง-ออเดอร์ทะลัก

โดยราคายางที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น บริษัทได้รับผลดีเป็นอย่างมาก เนื่องจากช่วงนี้ลูกค้ามีการสั่งสินค้าเป็นจำนวนมาก เพราะได้มีการประเมินว่าราคายางอาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่านี้ แต่ทางบริษัทก็ยังคงขายสินค้าปกติตามสินค้าที่มีอยู่ ซึ่งหากทิศทางราคายางยังมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ยิ่งสนับสนุนให้ผลประกอบการของบริษัทเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

“ สาเหตุที่ราคายางปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นการปรับขึ้นตามตลาดล่วงหน้า อันมีผลมาจากความต้องการใช้ยางแผ่นรมควันในอุตสาหกรรมการผลิตที่เพิ่มขึ้น และความต้องการในการขายยางแผ่นรมควันลดลงในช่วงนี้เพระทางภาคใต้เกิดวิกฤตน้ำท่วมและน้ำป่าไหลหลากในหลายพื้นที่จึงไม่สามารถกรีดยางได้ ประกอบการระบาดของโควิดที่กลับมาอีกครั้งในประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ไม่มีแรงงานกรีดยางเข้ามาในประเทศไทย” นายชูวิทย์ กล่าว

ส่วนแนวโน้มผลงานไตรมาส 4/63 จะเติบโตโดดเด่น เพราะจะทยอยส่งมอบยางพาราให้กับลูกค้ารายใหม่จากประเทศจีน ซึ่งเป็นสัญญาระยะยาว (Long Term Contact) จำนวน 2 ราย รวม 72,000 ตัน/ปี รวมถึงบริษัทจะได้รับอานิสงส์จากราคายางพาราที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าราคายางสิ้นปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 55-60 บาท/กิโลกรัม

ปี64รายได้นิวไฮ-ซุ่มดีลใหญ่

ดังนั้นทั้งปี 63 คาดรายได้รวมจะเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ)ที่ 1.7 หมื่นบ้านบาท หรือเติบโต 25% เมื่อเทียบกับปี 62  ส่วนยอดขายจะอยู่ที่ 365,000 ตัน/ปี จากปี 62 ที่ 280,000 ตัน/ปี และในปี 64 คาดรายได้รวมทำนิวไฮทะลุเป้าหมายที่ 2.1 หมื่นล้านบาท ตามปริมาณการขายที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเป็น 410,000 ตัน

โดยบริษัทจะเดินหน้าเจรจาลูกค้ารายใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง ส่วนความคืบหน้าการเจรจาลูกค้ารายใหญ่จากประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นสัญญา Long Term Contact อีก 2 ราย รวม 48,000 ตัน/ปีนั้น คาดว่าจะได้ข้อสรุปต้นปี 64  คาดปริมาณออเดอร์ที่เพิ่มขึ้นจะสนับสนุนให้ “โรงงานแห่งใหม่” มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 70-80% จากกำลังผลิตรวมทั้งสิ้น 1.76 แสนตันต่อปี (รวมทั้ง 2 โรงมีกำลังผลิตรวม 4.60 แสนตันต่อปี)  และในช่วงไตรมาส 3/64 บริษัทมีแผนขยายกำลังผลิตจากโรงงานเดิมอีก 25% ทำให้กำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นแตะ 500,000 ตัน/ปี ขณะที่ทิศทางราคายางพาราจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะภายหลังจาก Covid-19 คลี่คลายทำให้ความต้องการใช้ยางล้อ กลับมาสูงขึ้นทั้งในอุตสากรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมการบิน และอื่นๆอีก

รับทรัพย์ธุรกิจใหม่พันล.

พร้อมกันนี้ในปี  64 บริษัทจะเริ่มมีรายได้จากธุรกิจใหม่เข้ามา คือ “แผ่นรองในพื้นคอกของปศุสัตว์” คาดว่าจะได้ข้อสรุปการซื้อเครื่องจักรในปลายปี 63 นี้ ด้วยงบลงทุนราว 240 ล้านบาท คาดจะเริ่มจำหน่ายในช่วงครึ่งปีหลังของปี 64 และคาดหวังรายได้ในปี 65 แตะระดับ 1,000 ล้านบาท  รวมถึงมีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพอีก 2 ผลิตภัณฑ์ด้วย

www.mitihoon.com