โดยหน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงบวก
- Food and Drug Administration (FDA) ของสหรัฐฯ อนุญาตให้ใช้วัคซีนของบริษัท Pfizer/BioNTech ในกรณีฉุกเฉิน และจะเริ่มฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส ให้แก่ผู้ปฏิบัติงานด้านการดูแลสุขภาพตั้งแต่วันที่ 14 ธ.ค. 63 และเริ่มฉีดให้แก่ผู้สูงอายุในสถานดูแล ภายในปลายสัปดาห์ที่ 21 ธ.ค. 63
- Indian Oil Corporation (IOC) ของอินเดีย เพิ่มอัตราการกลั่นของโรงกลั่นทั้ง 11 โรง (กำลังการกลั่นรวม 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน) ในเดือน พ.ย. 63 เป็น 100% (เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 12%) เนื่องจากความคืบหน้าของวัคซีนป้องกัน COVID-19 ทำให้อุปสงค์น้ำมันในประเทศฟื้นตัวกลับเข้าสู่ในระดับก่อนการระบาดของ COVID-19
ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงลบ
- Baker Hughes Inc. รายงานจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบ (Rig) ในสหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 11 ธ.ค. 63 เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 12 แท่น มาอยู่ที่ 258 แท่น
- รัฐ California ของสหรัฐฯ กลับมาประกาศ Lockdown อีกครั้งในพื้นที่ส่วนใหญ่ตั้งแต่วันที่ 6 ธ.ค. 63 (23.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น) เป็นเวลา 3 สัปดาห์ เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้วันหยุด Christmas ของปีนี้ (25 ธ.ค. 63) ประชาชนในรัฐ California ต้องพักผ่อนอยู่บ้าน
แนวโน้มราคาน้ำมัน
ราคาน้ำมันดิบ มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากความคืบหน้าของวัคซีนป้องกัน COVID-19 โดยบริษัท Pfizer และบริษัท BioNTech จะสามารถจัดส่งวัคซีนป้องกัน COVID-19 ชุดแรก 170,000 โดส ให้รัฐ New York ของสหรัฐฯ ภายในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 27 ธ.ค. 63 ทั้งนี้ Pfizer/BioNTech จะเริ่มการจัดส่งวัคซีนไปยังจุดฉีด 145 แห่งทั่วสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค. 63 คาดว่าสามารถจัดส่งวัคซีนงวดแรกรวม 2.9 ล้านโดส ในเดือน ธ.ค. 63 ให้ติดตามกลุ่ม OPEC+ ซึ่งจะประชุมคณะกรรมการร่วมติดตามระดับรัฐมนตรี (JMMC) ในวันที่ 16 ธ.ค. 63 และมีกำหนดประชุมกลุ่ม OPEC+ วันที่ 4 ม.ค. 64 ในสัปดาห์นี้คาดว่าราคาน้ำมันดิบ ICE Brent จะเคลื่อนไหวที่ระดับ 47-54 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล