กมธ.-มูลนิธิฯ ขู่ฟ้อง กขค. ดีลควบค้าปลีก “ซีพี-โลตัส”

451

กมธ.เศรษฐกิจหนุนมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเป็นหัวหอกไล่ฟ้องกก.แข่งขันทางการค้า หลังอนุมัติควบรวมค้าปลีกซีพี-เทสโก้ โลตัส ทำประชาชนมีทางเลือกน้อยลง เชื่อในอนาคตประชาชนถูกบีบซื้อของแพง ชี้ขนาดกล้วยที่ไทยผลิตได้เองวันนี้ยังต้องซื้อแพงกว่าผู้ดีอังกฤษแล้ว

ขณะที่ทุกฝ่ายกำลังรอคำวินิจฉัยกลางของคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าต่อมติของคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) เสียงข้างมากที่เห็นชอบการควบรวมธุรกิจค้าปลีก ระหว่างกลุ่มบริษัท ซีพี กับห้างเทสโก้ โลตัส ไปตั้งแต่ต้นเดือน พ.ย.63

แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีคำวินิจฉัยกล่างออกมาแม้จะผ่านมาร่วมเดือนแล้วก็ตาม ทำให้สังคมต่างเฝ้ารอว่า เมื่อไหร่คณะกรรมการกลางจะมีคำวินิจฉัยกลางออกมา แม้จะมีกระแสข่าวว่า จะมีคำวินิจฉัยกลางออกมาในช่วงบ่ายวันนี้ (17 ธ.ค. 63) แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ

นางสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวในระหว่างการให้สัมภาษณ์ในงานเสวนา “ควบรวมธุรกิจค้าปลีก.. ประชาชนได้หรือเสีย เป็นโอกาสหรือวิกฤติ และโฉมหน้าธุรกิจค้าปลีกจะไปทางไหน” ว่า เท่าที่ติดตามมติ กขค.ที่ออกมานั้น คิดว่า เป็นมติที่มีปัญหาชัดเจน ดังเช่นที่กรรการเสียงข้างน้อยให้เหตุผลว่า การตัดสินใจของกรรมการเสียงข้างมากครั้งนี้ จะส่งผลร้ายแรงต่อเศรษฐกิจของประเทศตามมาอย่างแน่นอน เพราะประกาศหลักเกณฑ์อำนาจเหนือตลาดกำหนดไว้ชัดเจน กรณีที่ผู้ประกอบการมีส่วนแบ่งตลาดเกิน 50% และมียอดขายเกิน 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ย่อมเข้าข่ายการมีอำนาจเหนือตลาดอยู่แล้ว แต่การควบรวม 2 ยักษ์ค้าปลีกในครั้งนี้ ครองส่วนแบ่งตลาดไปถึง 87.97% เกิน 50% และเกิน 1,000 ล้านบาทแต่แรกอยู่แล้ว

ทั้งนี้ ยอมรับว่า หลังจากคณะกรรมการ กขค.มีมติออกมาโดยเห็นว่ามีอำนาจเหนือตลาด แต่ไม่ถือเป็นการผูกขาดและไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจนั้น ถือเป็นมติที่ตลกและประหลาดที่สุดเท่าที่เครือข่ายได้ยินมา เพราะข้อเท็จจริงนั้นมติดังกล่าวจะส่งผลต่อการผูกขาด ส่งผลต่อธุรกิจโดยรวมของประเทศ ความมั่นคงด้านอาหาร สุดท้ายจำกัดทางเลือกผู้บริโภคอย่างแน่นอน

“แม้กระทั่งวันนี้ เราได้เห็นชัดกันแล้ว กล้วยหอมที่ทางมูลนิธีชีววิถีศึกษา พบว่า ของเราแพงกว่าอังกฤษ มันเป็นไปได้อย่างไรที่ผู้บริโภคเรากินกล้วยหอมแพงกว่าต่างประเทศทั้งที่เราเป็นผู้ผลิตเอง”

เลขามูลนิธิเพื่อผู้บริโภคยืนยันว่า ทางมูลนิธิฯ กำลังรอดูคำวินิจฉัยกลางของคณะกรรมการกลางที่จะออกมาว่า จะเป็นอย่างไร แต่ก็อยากเห็นสมาคมค้าปลีก จะได้ออกโรงเคลื่อนไหวในเรื่องนี้เช่นเดียวกับทางมูลนิธิฯที่คงจะดำเนินการพิจารณาฟ้องร้องคดีเช่นกัน แต่จะต้องรอมติคณะกรรมการกลางแข่งขันทางการค้าที่ชัดเจนก่อน จึงจะดำเนินการได้ เพราะจะอาศัยแต่ข่าวที่ออกมาก่อนหน้าคงลำบาก และหากผู้ประกอบธุรกิจรายใดที่เห็นว่าเดือดร้อนอยากจะฟ้องร่วมกับทางมูลนิธิฯ ก็ขอให้ยื่นเรื่องมา

นางสาวสิริกัญญา ตันสกุล ประธานกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาเศรษฐกิจ จากที่ กมธ.ได้เชิญบอร์ด กขค.เข้ามาให้ข้อมูลนั้นยอมรับว่าข้อมูลที่ได้รับ ยังขาดความชัดเจนอยู่มาก โดย กขค.ได้ซอยตลาดค้าปลีกออกเป็น 3 ตลาด คือ ไฮเปอร์มาร์เก็ต ซูเปอร์มาร์เก็ต  และคอนวีเนี่ยนสโตร์ และอ้างว่า หลังอนุมัติควบรวมไปแล้ว ตลาดที่จะกระทบ คือ คอนวีเนียนสโตร์เท่านั้น ส่วน อีก 2 ตลาด คือ ไฮปเอร์มาร์เก็ตและซูเปอร์มาร์เก็ตไม่เปลี่ยนแปลง เพราะ กขค.ไม่ได้เอาห้างแมคโครเข้ามาอยู่ในตลาดด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องประหลาดอีก โดย กขค.อ้างว่าไม่มีเวลาศึกษา ทั้งที่ดีลควบรวมซีพีและเทสโก้ โลตัสนั้น มีการยื่นมาตั้งแต่ปลายปี 62 แต่กลับไม่มีการศึกษาอะไรเอาไว้เลย

นอกจากนี้ กมธ.ยังตั้งคำถามเรื่องผลกระทบกับคู่แข่ง ซึ่งสำนักงาน กขค.อ้างไม่มีปัญหา เพราะค้าปลีกขนาดย่อมยังมีอีกเยอะ ยังสามารถเข้าสู่ตลาดได้ด้วยเงินลงทุน 5-10 ล้านบาท แต่พอไปดูด้านซัพพลายเออร์ ทาง กขค.กลับให้ข้อมูลค่อนข้างน้อย

“สังคมมการตั้งคำถามต่อการอนุมัติ กขค. ในครั้งนี้มาก เพราะดูจะเป็นโอกาสทองของธุรกิจยักษ์ใหญ่ ที่จะกลายเป็นเรือธงของธุรกิจใหญ่ไปสู่ตคลาดโลก แต่ก็เป็นวิกฤติสำหรับร้านค้าย่อย คู่ค้าและผู้บริโภค สะท้อนความเหลื่อมล้ำ ทำให้โอกาสของธุรกิจรายย่อยแข่งขันลำบาก หรือไม่มีทางแจ้งเกิดได้เลย”

ทั้งนี้ทาง กมธ.พร้อมสนับสนุนสมาคมค้าปลีก หรือองค์กรผู้บริโภคให้ยื่นเรื่องไปยังศาลปกครองขอให้ระงับคำสั่ง กขค.นี้ เพราะกมธ.ยื่นเองไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นผู้มีสวนได้เสียโดยตรง คนที่จะร้องต้องเป็นผู้บริโภคหรือองค์กรของผู้บริโภค

ด้านนายสมชาย พรรัตนเจริญ  นายกสมาคมค้าปลีก กล่าวว่า การอนุมัติควบรวมซีพีและเทสโก้ โลตัสครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสของยักษ์ใหญ่ค้าปลีกเสียมากกว่า คณะกรรมการมักมองด้านเดียวตลอด ไม่เคยเห็นคนจนข้างล่างโหยหาทุนต่างประเทศเข้ามาตลอด ด้านโครงสร้างราคาหลังควบรวม พอเหลืออยู่น้อยราย หรือเหลืออยู่รายเดียว เขาครองหมดแล้ว การที่จะมาเยียวยา จะมาเยียวยาอย่างไร จะมาแจกเงิน 200-300 บาท เยียวยาหรือ

“ส่วนเงื่อนไข 7 ข้อ ที่ กขค.ออกมานั้น เป็นแค่เงื่อนไขเด็กๆ น้ำจิ้มเท่านั้น  ไม่มีทางที่จะสู้ได้  ใครจะไปตรวจสอบการทำงานว่า ทำตามเงื่อนไขได้หรือไม่  ทุกวันนี้รายใหญ่ต้องการอะไร ทุบโต๊ะ ใครจะกล้าหือ ไม่มีสิทธิ์จะต่อรอง สินค้าที่ต้องการขายเข้าไปต้องทำโปรโมชั่น เพิ่มความเหลื่อมล้ำ”

ที่มา: http://www.natethip.com/news.php?id=3453

โดยเนตรทิพย์กระพริบข่าวร้อน

www.mitihoon.com