มิติหุ้น – PRM ส่งบริษัทย่อย “บ.ภูริช มารีน” ทุ่มเงินราว 346.50 ลบ. เข้าเจรจาซื้อธุรกิจกองเรือ “บ.ไทยออยล์ มารีน” จาก TOP คาดจบกลางปี64 ขึ้นแท่นผู้นำกองเรือใหญ่สุดในเอเชีย โบรกสานเสียงเชียร์ เคาะเป้า 12บ.
ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.พริมา มารีน หรือ PRM ผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีเหลวทางเรือรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ภายหลังจากคณะกรรมการมีมติอนุมัติให้บริษัท ภูริช มารีน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย (ถือหุ้นร้อยละ 99.99) เข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้นกับบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เพื่อเข้าซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัท ไทยออยล์ มารีน จำกัด ในราคาซื้อขายหุ้นเบื้องต้นทั้งสิ้น 346.50 ล้านบาท และคาดว่า จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2564
ได้สิทธิ์ขนส่งน้ำมันให้ TOP
ซึ่งภายหลังจากการเข้าซื้อหุ้นดังกล่าว “บ.ไทยออยล์ มารีน” ยังเป็นผู้ให้บริการแก่ TOP ต่อเนื่องดังนี้ 1.บริการเรือขนส่งน้ำมันดิบขนาด VLCC แบบมีระยะเวลา (Time Charter) จำนวน 3 ลำ ระยะเวลา 10 ปี 2.บริการขนส่งสินค้าโดยเรือขนาดเล็กแบบมีระยะเวลา (Time Charter) จำนวน 1 ลำเป็นระยะเวลา 5 ปี และ บริการขนส่งสินค้าโดยเรือขนาดเล็กแบบรายเที่ยว จำนวน 2 ลำ เป็นระยะเวลา 5 ปี และ 3.บริการในการเป็นตัวแทนเรือ (Ship Agent) เป็นระยะเวลา 5 ปีนับตั้งแต่วันที่การซื้อขายเสร็จสมบูรณ์
มีกองเรือเพิ่ม 18 ลำ
ด้านนายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี เปิดเผยว่า เบื้องต้นหากเจรจาตกลงซื้อบริษัท ไทยออยล์ มารีน จำกัด สำเร็จตามเวลาที่กำหนด จะช่วยเพิ่มศักยภาพธุรกิจขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศรวมถึงการส่งเสริมให้ธุรกิจเรือขนส่งระหว่างประเทศมีความแข็งแกร่งขึ้น โดยเฟสแรก บริษัทสามารถรับรู้รายได้ในส่วนของกองเรือจำนวน 18 ลำ จาก“บ.ไทยออยล์ มารีน” (รวมเป็น 58 ลำจากปัจจุบัน 40 ลำ) ซึ่งเรือแต่ละลำมีสัญญาจ้างเฉลี่ยราว 3-5 ปี คาดว่าจะช่วยเสริมในส่วนของการขนส่งกองเรือระหว่างประเทศเป็นระดับ double digit ได้จากปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้ส่วนนี้เพียง single digit เท่านั้น นอกจากนี้ยังคาดหวังจะเกิด Synergy ระหว่างธุรกิจของกลุ่มบริษัทไทยออยล์มารีน จำกัดและ TOP ด้วย ทั้งนี้รายได้การดังกล่าวไม่ได้อยู่ในคาดการการเติบโตของรายได้ในปี 64 ที่เดิมตั้งเป้าเติบโต 10-15 % จากปีนี้และเป้าอัตรากำไรขั้นต้น (Gross margin) ที่ระดับ 38 % ต่อปี
ขึ้นแท่นผู้นำเอเชีย
ขณะที่ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ประเมินว่า แนวโน้มไตรมาส 4/63 เรือ FSU ยังเป็น ธุรกิจนำของกลุ่ม จากการปรับขึ้นค่าเช่าเรือช่วงไตรมาส 1-2/63 ทำให้กำไรเติบโตมาต่อเนื่อง ส่วนแผนปี 64 มีแผนซื้อเรืออย่างน้อย 5 ลำ จึงแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 11.50 บาท พร้อมประเมินกำไร 1,799 ล้านบาท ด้านแหล่งข่าวนักวิเคราะห์อีกแห่งคาดราคาเป้าหมายที่ 12 บาท/หุ้น จากการเพิ่มกองเรืออีกราว 18 ลำ คาดจะส่งผลดีและทำให้ PRM ขึ้นแท่นผู้นำที่มีกองเรือที่ใหญ่ที่สุด
www.mitihoon.com