“จักรไพศาล เอสเตท” (JAK) เคาะราคาไอพีโอ 1.45 บาท/หุ้น เปิดจองซื้อ 8, 11 และ 12 ม.ค.นี้

399

“จักรไพศาล เอสเตท” (JAK) เคาะราคาไอพีโอ 1.45 บาท/หุ้น ระดมทุน 120 ลบ. เปิดจองซื้อ 8, 11 และ 12 ม.ค.นี้ ชูจุดเด่นอัตรากำไรขั้นต้นสวย

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า นายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ของบริษัท จักรไพศาล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ JAK เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 82,709,900 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 1.00 บาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 25.85 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ในราคา IPO หุ้นละ 1.45 บาท ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานและศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัท โดยจะเปิดให้จองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 8, 11 และ 12 มกราคม 2564 และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ  (mai) หมวดอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (PROPCON)

โดยกำหนดวันที่เข้าจดทะเบียนซื้อขายเป็นวันแรกวันที่ 18 มกราคม 2564 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า  “JAK”  พร้อมกันนี้ ยังมีผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 3 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน)  บริษัทหลักทรัพย์อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด

“เรามั่นใจว่าการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ JAK ในครั้งนี้ จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน ด้วยราคา
ไอพีโอที่กำหนดไว้เป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ของบริษัทฯ โดยมีจุดแข็ง คือ การนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการทำงาน ทำให้บริษัทสามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ธุรกิจมีการเติบโตของอัตรากำไรขั้นต้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2560 – 2562) เฉลี่ยสูงถึง 50% ต่อปี (CAGR)  สูงกว่าอุตสาหกรรมที่เฉลี่ยอยู่ที่ 30% จึงเชื่อมั่นว่า JAK จะเป็นอีกหุ้นการเติบโตที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน” นายชนะชัย กล่าว

นายวีระพันธ์ จักรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัท จักรไพศาล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ JAK เปิดเผยว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ประมาณ 120 ล้านบาท (ก่อนหักค่าธรรมเนียมการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้) บริษัทฯ จะนำไปใช้เป็นเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการ /การเข้าลงทุนในที่ดินเพื่อพัฒนา นำไปชำระคืนหนี้ธนาคาร และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ ภายในปี 2564 นอกจากนี้การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ ทั้งต่อสถาบันการเงิน  คู่ค้าธุรกิจ รวมทั้งลูกค้า

“JAK กำหนดราคาเสนอขายที่ 1.45 บาทต่อหุ้น เป็นราคาที่เหมาะสม โดยเม็ดเงินระดมทุนจำนวน 120 ล้านบาท จะยิ่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจ โดยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้เชื่อว่าเป็นการวางรากฐานที่สำคัญให้กับ JAK ในการก้าวสู่การเป็นบริษัทมหาชนและกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่เชื่อมั่นในการเติบโตของบริษัทฯ พร้อมทั้งเน้นการถือลงทุนระยะยาว โดยหวังว่าผู้ลงทุนจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน JAK จะได้ร่วมเป็นเจ้าของบริษัทที่เป็น Growth stock และเชี่ยวชาญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์” นายวีระพันธ์ กล่าว

บริษัท จักรไพศาล เอสเตท จำกัด (มหาชน) ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนในครั้งนี้ บริษัทฯจะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเป็น 320 ล้านบาท  แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 320 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้
หุ้นละ 1.00 บาท  โดยมีนายวีระพันธ์ จักรไพศาล เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ ถือหุ้นสัดส่วนรวมทั้งสิ้นร้อยละ 54.17 ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว ภายหลังเสนอขาย IPO

นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท จักรไพศาล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ  JAK เปิดเผยว่า จุดเด่นของ JAK เป็นบริษัทประกอบธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายในหลากหลายประเภท ทั้งแนวราบและแนวสูง ได้แก่ บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม อาคารพาณิชย์ และอาคารชุด โดยบริษัทมีบริษัทร่วม คือ  บริษัท เอ็ม.ที.เอส พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายโครงการไอดิลล์ เป็นโครงการทาวน์เฮาส์ชั้นเดียว บ้านแฝดและอาคารพาณิชย์ ตั้งอยู่ที่อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี  ซึ่งโครงการไอดิลล์อยู่บนทำเลทองที่ราคาที่ดินปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยโครงการของบริษัทฯ เป็นที่ยอมรับทั้งในด้านคุณภาพและการบริการที่ดี ผู้บริหารอยู่ในพื้นที่จริง มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญ พัฒนาโครงการประสบความสำเร็จมายาวนานกว่า  25 ปี  และมีเป้าหมายสร้างการเติบโตให้ จักรไพศาล  เอสเตท เป็นผู้นำทางด้านที่อยู่อาศัยหลังแรกของกลุ่มคนระดับกลางถึงล่างในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล  จังหวัดสระบุรี และภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การระดมทุนในครั้งนี้ จะสนับสนุนให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนนำมาพัฒนาโครงการที่มีศักยภาพ สร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า และพันธมิตร

“มั่นใจว่า JAK มีแผนการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง ชัดเจน จะสนับสนุนการรับรู้รายได้ของบริษัทฯ ในปี 2564 และในระยะยาว ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยในช่วงที่ผ่านมาสามารถปิดการขายโครงการได้แล้ว 21 โครงการ และปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างเปิดขาย จำนวน 3 โครงการ อีกทั้ง มีโครงการในอนาคตที่มีแผนพัฒนารวมมูลค่าราว 1,422 ล้านบาท ภายหลังการเข้ามาระดมทุน จึงมองว่าจะสนับสนุนฐานะการเงินที่มั่นคง และโอกาสในการสยายปีกโตได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ขณะที่ อัตรากำไรขั้นต้นมีการเติบโตเฉลี่ยสูงถึงกว่า 50% ต่อปีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2560 – 2562) ถือว่ามีความน่าสนใจ จากความสำเร็จในการเดินหน้าขยายโครงการและการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้น สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2563  บริษัทฯ มีรายได้รวม 69.93 ล้านบาท กำไรสุทธิ 12.64 ล้านบาท” นายวรชาติ กล่าวทิ้งท้าย

JAK มีโครงการระหว่างการพัฒนาจำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมราว 1,422 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ เฟิร์น เฟสที่ 2 มูลค่าโครงการ 413ล้านบาท พัฒนาเป็นทาวน์โฮม ตั้งอยู่ที่ ทางหลวงสาย 7 (มอเตอร์เวย์) จ.ชลบุรี  โครงการ Canna มูลค่าโครงการ 422 ล้านบาท พัฒนาเป็นอาคารพาณิชย์ ทาวเฮ้าส์ และบ้านแฝดชั้นเดียว ตั้งอยู่ที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี (โรงโป๊ะ) และโครงการ Peony& Pine (รังสิต) ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพเพราะที่ดินติดรถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีปลายทางบางพูน มูลค่าโครงการรวม 587 ล้านบาท เป็นทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม สูงไม่เกิน 8 ชั้น  โดยทั้ง 3 โครงการ คาดว่าจะพัฒนาแล้วเสร็จ จะเริ่มส่งมอบและทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 1/2564 เป็นต้นไป สนับสนุนรายได้ให้เติบโตแข็งแกร่งในอนาคต

ทั้งนี้บริษัทฯ มีที่ดินในมือรอการพัฒนาโครงการในอนาคตที่บริษัทเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้ว จำนวน 2 แปลง ได้แก่ ที่ดินอำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เนื้อที่ 29 ไร่  และที่ดินตั้งอยู่ที่ซอยนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ เนื้อที่ 2 ไร่เศษ ซึ่งเป็นที่ดินตั้งบนทำเลที่มีศักยภาพโดย JAK มีที่ดินเพียงพอสำหรับการพัฒนาในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า