“จักรไพศาล เอสเตท” หุ้นน้องใหม่ ปิดจองซื้อไอพีโอเกลี้ยง พร้อมเทรด mai 18 ม.ค.นี้

125

 

มิติหุ้น-กระแสตอบรับดีเยี่ยม สำหรับหุ้นไอพีโอน้องใหม่ “จักรไพศาล เอสเตท” หรือ JAK โดยไอพีโอ 82,709,900 หุ้น มีนักลงทุนจองซื้อเข้ามาอย่างล้นหลาม สะท้อนความเชื่อมั่น ในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการทั้งประเภทแนวราบและโครงการคอนโดมีเนียมแบบ Low Rise บนทำเลศักยภาพในเขตภาคอุสาหกรรม และมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ อีกทั้ง ความโดดเด่นในการนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการทำงาน ทำให้บริษัทฯ สามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมก้าวสู่การเป็นหุ้นอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ที่เติบโตต่อเนื่องในอนาคต และผู้ถือหุ้นที่แข็งแกร่ง มั่นใจจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนต่อเนื่อง ในวันที่เข้าซื้อขายวันแรกใน mai วันที่ 18 มกราคมนี้

นายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ของบริษัท จักรไพศาล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ JAK เปิดเผยว่า ในช่วงเปิดจองซื้อหุ้นไอพีโอของ JAK ระหว่างวันที่ 8, 11 และ 12 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา มีนักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาจองซื้อเต็มจำนวน สะท้อนความเชื่อมั่นที่มีต่อปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของ JAK ทั้งศักยภาพการเติบโตในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แม้ในปี 2563 ที่ผ่านมา จะต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 แต่บริษัทฯ ก็ยังคงความสามารถในการบริหารจัดการด้วยความเป็นมืออาชีพ ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นในงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 ยังอยู่ในระดับสูงกว่า 50% และมองว่า แม้เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก  แต่ก็มีจุดเด่นและโอกาสในการขยายโครงการในอนาคตบนทำเลศักยภาพ จึงมั่นใจว่า JAK จะได้รับการตอบรับอย่างต่อเนื่องในวันเข้าซื้อขายเป็นวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (PROPCON)  วันที่ 18 มกราคม 2564 นี้

ทั้งนี้ JAK เสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 82,709,900 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ1.00 บาท กำหนดราคา IPO หุ้นละ 1.45 บาท โดยมีผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย 3 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน)  บริษัทหลักทรัพย์อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด

นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท จักรไพศาล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ  JAK กล่าวเสริมว่า JAK จะเป็นอีกหุ้นเด่นที่น่าสนใจ โครงการของบริษัทฯ เป็นที่ยอมรับทั้งในด้านคุณภาพและการบริการที่ดี ผู้บริหารอยู่ในพื้นที่จริง มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญ พัฒนาโครงการประสบความสำเร็จมาหลายโครงการ  และมีเป้าหมายสร้างการเติบโตให้ จักรไพศาล  เอสเตท เป็นผู้นำทางด้านที่อยู่อาศัยหลังแรกของกลุ่มคนระดับกลางถึงล่างในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล  จังหวัดสระบุรี และภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ

โดย JAK มีแผนพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง ชัดเจน ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างเปิดขาย จำนวน 3 โครงการ อีกทั้ง มีโครงการในอนาคตที่มีแผนพัฒนารวมมูลค่าราว 1,422 ล้านบาท ภายหลังการเข้ามาระดมทุน จึงมองว่าจะสนับสนุนแผนการเติบโตในระยาว และมีโอกาสก้าวกระโดดในปี 2564 ได้  นอกจากนี้ บริษัทฯ มีที่ดินในมือรอการพัฒนาโครงการในอนาคตที่บริษัทเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้ว จำนวน 2 แปลง ได้แก่ ที่ดินอำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี  และที่ดินตั้งอยู่ที่ซอยนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นที่ดินตั้งบนทำเลที่มีศักยภาพ ทำให้ JAK มีที่ดินเพียงพอสำหรับการพัฒนาในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า

 

นายวีระพันธ์ จักรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัท จักรไพศาล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ JAK เปิดเผยว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ประมาณ 120 ล้านบาท (ก่อนหักค่าธรรมเนียมการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้) บริษัทฯจะนำไปใช้เป็นเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการ และ/หรือ การลงทุนในที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ จำนวน 59.96 ล้านบาท  ชำระคืนหนี้ธนาคาร จำนวน 41.98 ล้านบาท และเป็นเงินทุนหมุนเวียน ในการดำเนินธุรกิจและการดำเนินการอื่นใดเพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อบริษัท จำนวน 17.99 ล้านบาท ระยะเวลาใช้เงินทั้งหมดภายในปี 2564 เพื่อรองรับการขยายโครงการ ลดต้นทุนทางการเงิน

โดยบริษัทฯ มีจุดแข็ง คือ การนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการทำงาน ทำให้บริษัทฯ สามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นมีการเติบโตเฉลี่ยสูงถึงกว่า 50% ต่อปีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2560 – 2562) เทียบกับอุตสาหกรรมเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ  30%

ปัจจุบัน JAK กลุ่มครอบครัวจักรไพศาล ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ถือหุ้นรวมกัน 69.30% และในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ยินดีติดไซเรนท์ พีเรียด  และไม่มีนโยบายที่จะขายหุ้นออกไป เพราะเป็นธุรกิจที่ครอบครัวสร้างมากับมือ