ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC โดย “บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส” เปิดเผยว่า แนวโน้มผลงานไตรมาส 4/63 คาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 8.6 พันล้านบาท เติบโต 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 11% จากไตรมาสก่อน หนุนโดยมาร์จิ้นปิโตรเคมีที่สูงขึ้น (Spread HDPE/PP/PVC ต่อ Naphtha อยู่ที่ 592/734/580 US$/ตัน เพิ่มขึ้น 13% ,27%, 27% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีรายได้เงินปันผลรับช่วยหนุน, มีกำไรจากสต็อก 120 ล้านบาท และธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่แข็งแกร่ง แต่บางส่วนถูกชดเชยด้วย ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างที่ชะลอตัวลง และการปิดซ่อมบำรุงโรงงาน MOC 45 วัน … ถ้าไม่รวมรายการพิเศษต่างๆ คาดว่าในไตรมาส 4/63 จะมี Core profit 8.5 พันล้านบาท ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 10% จากไตรมาสก่อน
ขณะที่แนวโน้มปี 64 มีปัจจัยหนุนจาก “ธุรกิจปิโตรเคมี” ที่ยังไปได้ดี และอุปสงค์บรรจุภัณฑ์เติบโต ซึ่งอุปสงค์ปิโตรเคมีที่นำไปผลิตวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์และสินค้าที่เกี่ยวกับสุขอนามัยยังคงสูงต่อเนื่อง ด้านอุปทานวัตถุดิบNaphtha ก็มีเพียงพอ (ไม่มีการปิดซ่อมบำรุงโรงงานใหญ่ๆ) และปริมาณขาย MOC เพิ่มขึ้นหลังได้กำลังการผลิตจากการขยายคอขวดมาอีก 3.5 แสนตันต่อปี โดยจะเริ่มผลิตได้ใน 1H64 ด้านบรรจุภัณฑ์ก็เติบโตดีจากอุปสงค์เพิ่ม, การขยายกำลังการผลิต, การเข้าซื้อกิจการ
ด้าน “ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง” ไม่ได้แย่ลงและมีโอกาสฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งธุรกิจนี้ให้กระแสเงินสดที่ดี (Cash cow business) ดังนั้นแนะนำ “ซื้อ” ปรับเพิ่มราคาพื้นฐานเป็น 435 บาท (เดิม 417 บาท)โดยเลื่อนไปใช้ Valuation ปี 64 (วิธีDCF, WACC8.23%, TG 1%) หรือเทียบเท่ากับ P/E ปี 64 ที่ 15 เท่า คาดการณ์ Dividend Yield ปี 64 ไว้ที่ 3% ต่อปี
ด้านความเสี่ยงหลัก คือ ความล่าช้าของโครงการก่อสร้างขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะทำให้อุปสงค์ซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างต่ำกว่า คาด, อุปสงค์ปิโตรเคมีในจีนที่อ่อนแอ และความผันผวนของราคาน้ำมัน
www.mitihoon.com