ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ บมจ.เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ หรือ KCE ว่า ฝ่ายวิจัยคาด Core profit ไตรมาส 4/63 เท่ากับ 390 ล้านบาท เติบโตแข็งแกร่ง +83%YoY และ +117%QoQ ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของรายได้รูปดอลลาร์ (+11%YoY, +22%QoQ สู่ระดับ 107 ล้านUS$) แม้ว่าจะมีปัญหาโลจิสติกส์จากการที่ประเทศปลายทางสินค้าบริษัทบางประเทศมีการ Lockdown และอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น ฝ่ายวิจัยประมาณการไว้ที่ 25.6% ใน 4Q63 ซึ่งดีขึ้นจาก 20.4% ในไตรมาส4/62 เพราะประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้น & Product mix ที่เปลี่ยนแปลง รวมทั้งดีขึ้นจาก 19% ในไตรมาส 3/63 ที่อยู่ในภาวะต้นทุนวัตถุดิบสูง
ระยะสั้นอาจถูกกระทบจากโลจิสติกส์ตึงตัวและการขาดแคลนชิปบ้าง ในด้านโลจิสติกส์ตึงตัวเกิดขึ้นในระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งเป็นผลจากการที่ลูกค้ามีการเพิ่มสต็อกประกอบกับแรงงานในช่วงโควิด-19 ก็ลดลงทำให้เกิดการดีเลย์ที่ท่าเรือ ทั้งนี้ KEC ใช้การขนส่งทางเรือราว 60%, ทางอากาศ 35% และที่เหลือเป็นการขนส่งในประเทศ สำหรับส่วนนี้ทาง KCE วางแผนรองรับและคาดว่าผลกระทบจะจำกัด
ส่วนการขาดแคลนชิปเป็นผลจากการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของยอดขายรถยนต์ในจีน และอุปสงค์ชิปที่ใช้กับสมาร์ทโฟน 5G เพิ่มขึ้นด้วย ยังผลให้ค่ายรถยนต์บางแห่งประกาศแผนลดปริมาณการผลิตลงใน 1Q64 เช่น โวคสวาเก้น เยอรมนี, ฮอนด้า ญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งส่วนนี้อาจกระทบต่อรายได้ของ KCE ในระยะสั้น
แต่…แนวโน้มระยะกลาง-ยาวยังไปได้ดี จากอุปสงค์ชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ในรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ EV หรือ Non-EV ทั้งนี้เพราะรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ทั่วโลก มีการติดตั้งและใช้ระบบอิเลคทรอนิกส์มากขึ้นมาก ซึ่ง KCE เป็นหนึ่งในบริษัทที่จะได้รับอานิสงค์ทางบวก
วิเคราะห์ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาท
การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาททุกๆ 1% จะส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ประมาณ 0.5% (ซึ่งใน 4Q63 คาดว่า GPM บริษัทจะอยู่ที่ 25.6% และปี 64 ขยับขึ้นเป็น 26% โดยมีสมมติฐานค่าเงินบาทปี 64 ที่ 31.0 บาท/US$)
แนะนำซื้อ ปรับเพิ่มราคาพื้นฐานเป็น 62 บาท และให้เป็น Top pick ของกลุ่มอิเลคทรอนิกส์
ทั้งนี้ในปี 64 คาดว่า KCE จะมีการเติบโตของกำไรสุทธิแข็งแกร่งที่สุดในอุตสาหกรรม โดยเราประมาณการไว้ที่ +72% และคาดว่าจะขยายตัวต่อ +22% ในปี 65 สำหรับราคาพื้นฐานใหม่นั้นเทียบเท่ากับ PEG ปี 64 ที่ 0.5 เท่า (PE เป้าหมาย 37 เท่าและ EPS growth 72%)
ความเสี่ยงหลัก คือ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และราคาวัตถุดิบ, ความล้าสมัยของเทคโนโลยี และเศรษฐกิจโลกชะลอตัว