ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย เผยข้อมูลคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2564 โดยนักวิเคราะห์ซิตี้ คาดว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะเติบโตอยู่ที่ 5% อัตราเงินเฟ้อปรับขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 2.2% โดยมองแนวโน้มการเติบโตกลุ่มตลาดเกิดใหม่ 6.2% และตลาดพัฒนาแล้ว 4.1% ในด้านการเติบโตของแต่ละภูมิภาคนั้น มองว่าจีดีพีของสหรัฐฯ จะอยู่ที่ 5.1% จากสัญญาณเชิงบวกของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและอัตราการว่างงานที่ลดลง ในส่วนยุโรปจะเติบโต 3.6% ในขณะที่ภูมิภาคเอเชียในปีนี้ จะเป็นผู้นำในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
คาดการณ์จีดีพีของเอเชียจะโตถึง 7.5% โดยเฉพาะประเทศจีนอาจโตแตะ 8.2% ด้านราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทองคำเฉลี่ยอยู่ที่ 1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วนค่าเงินยังคงมีความผันผวนสูง สำหรับภาพรวมการลงทุนยังคงเผชิญความท้าทายสูงเช่นกัน แต่ซิตี้ยังมีมุมมองบวกต่อหุ้น โดยให้น้ำหนักในภูมิภาคเอเชีย ลาตินอเมริกา
พร้อมแนะนำการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท เช่น ตราสารทุนทั่วโลก ทองคำ ตลอดจนตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่ และตราสารหนี้ไฮยิลด์ นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอธีมการลงทุนแบบ ESG ที่เน้นการลงทุนในกลุ่มกับการพัฒนาสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล นอกจากนี้ ยังแนะนำการกระจายการลงทุนในกลุ่มอุตสาหรรมอื่น ๆ อาทิ โทรคมนาคม เทคโนโลยีดิจิทัลไลเซชั่น สุขภาพ และอสังหาริมทรัพย์
ทั้งนี้ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย ได้จัดงานออนไลน์ “2021 Citigold Annual Outlook” แถลงข้อมูลทิศทางเศรษฐกิจและการลงทุนประจำปี 2564 เมื่อเร็ว ๆ นี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย หรือ www.citibank.co.th
โดยนายซาเมียร์ เดชพานดิ หัวหน้าที่ปรึกษาการลงทุนระดับภูมิภาค ซิตี้แบงก์ เอเชียแปซิฟิค และตะวันออกกลาง (Sameer Deshpande, Regional Head of Investments, Citibank Asia & EMEA) กล่าวว่า นักวิเคราะห์ซิตี้คาดการณ์ว่าแม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง แต่ระบบเศรษฐกิจทั่วโลกในปี 2564 จะเริ่มทยอยกลับมาสดใสจากหลายปัจจัยทั้งการประกาศผลการทดลองวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นครั้งแรก การทยอยฉีดวัคซีนขนาดใหญ่ในหลายประเทศที่น่าจะมีขึ้นในช่วงกลางปี รวมถึงประเทศที่พัฒนาแล้วเริ่มมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว โดยมองว่าการสิ้นสุดของการแพร่ระบาดจะเกิดขึ้นในช่วงกลางปี ทำให้โลกกลับสู่สภาวะปกติใหม่และเป็นการเริ่มต้นอย่างเต็มรูปแบบของวัฏจักรเศรษฐกิจใหม่
คาดการณ์เศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียในปีนี้
โดยภาพรวมนักวิเคราะห์ซิตี้มองว่าในปี 2564 ภูมิภาคเอเชียจะเป็นผู้นำในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก คาดการณ์จีดีพีของเอเชียจะโตถึง 7.5% โดยเฉพาะประเทศจีนอาจโตแตะ 8.2% จากตัวเลขอัตราการติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศที่ต่ำ ตลอดจนสัญญาณการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากกิจกรรมการท่องเที่ยว และความต้องการภายในประเทศ รวมถึงการร่วมมือในความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) จะทำให้ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดเล็กจะได้รับประโยชน์และส่งผลดีบวกเป็นอย่างมากต่อภูมิภาคอาเซียน สำหรับประเทศไทยคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ขยายตัวราว 4.0% ส่วนระดับอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 1.4% โดยมีแรงหนุนจากภาครัฐทั้งการบริโภคและการลงทุน
ด้านน้ำมันจากการร่วมมือปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกพลัส ทำให้ราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์และน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 54 และ 51 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลตามลำดับ ส่วนทองคำมีความต้องการลดลงจากความคืบหน้าของการพัฒนาวัคซีนในเชิงบวก แต่ยังเป็นสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพ คาดการณ์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
ส่วนค่าเงินต้องจับตาเป็นพิเศษเพราะยังคงมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีนี้คาดยังมีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อไปในระยะกลางถึงระยะยาวจากปัจจัยทางการเมือง รวมทั้งนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ด้านเงินหยวน (CNY) แข็งแกร่งขึ้น จากการฟื้นตัวของการเติบโตของจีนมีแนวโน้มที่จะยั่งยืนในปีนี้ ตลอดจนการเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของโจ ไบเดน อาจทำให้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ – จีน มีแนวโน้มผ่อนคลายลง และสำหรับเงินบาท กรอบความเคลื่อนไหวเงินบาทไทยจะอยู่ระหว่าง 30.0 – 30.2 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ด้าน นายดอน จรรย์ศุภรินทร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบุคคลธนกิจ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาถือเป็นปีที่ท้าทาย อย่างไรก็ตามทางธนาคารฯ มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนอย่างต่อเนื่องโดยมีการเสนอขายกองทุนใหม่ 28 กองทุน และตราสารหนี้ใหม่อีก 6 ตราสาร ซึ่งนำไปสู่การเติบโตด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) เติบโตในระดับตัวเลข 2 หลัก และมีการเติบโตในกลุ่มลูกค้าใหม่ทั้ง ซิตี้โกลด์ และ ซิตี้ไพรออริตี้ นอกจากนี้เห็นการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นอีกเช่นกัน
สำหรับข้อแนะนำในการลงทุน นักวิเคราะห์ซิตี้ยังคงแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นทั่วโลก โดยให้น้ำหนักในภูมิภาคเอเชีย ลาตินอเมริกา และแนะนำการกระจายการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ อาทิ พลังงานใหม่ โทรคมนาคมและเทคโนโลยีดิจิทัลไลเซชั่น สุขภาพ อสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งกระจายการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำประเภทอื่น ๆ เช่น ตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่และตราสารหนี้ผลตอบแทนสูงในอเมริกา รวมถึงทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอ
นอกจากนี้ยังแนะนำการลงทุนแบบยั่งยืน ในกลุ่ม (ESG) ที่กำลังเป็นเทรนด์ที่เป็นที่จับตามองในปัจจุบัน โดยซิตี้ได้จับมือกับ AB และ Schroders ในการนำเสนอกองทุน AB Sustainable Global Thematic Portfolio และ Schroder ISF Global Climate Change ที่ลงทุนในกลุ่มพลังงานใหม่ หรือกลุ่มที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงจากภูมิอากาศ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน อย่างไรก็ตามนักลงทุนต้องติดตามประเด็นสำคัญของสถานการณ์โลกที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนและรักษาผลประโยชน์ในระยะยาวท่ามกลางสภาวะตลาดผันผวน