ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ บมจ.ยูไนเต็ด เปเปอร์ หรือ UTP ว่า ฝ่ายวิจัยมองแนวโน้มของ UTP ยังเติบโตไปกับ E-commerce โดยคาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 4/63 เท่ากับ 231 ล้านบาท เติบโต +9% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) แต่อ่อนตัวลง -4% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยการเติบโต YoY มาจากรายได้เพิ่มขึ้น +21% YoY เป็น 944 ล้านบาท แต่ GRM อ่อนลงเป็น 32% จาก 35% ในช่วงไตรมาส 4/62 ส่วนการลดลง QoQ เป็นเพราะ GRM ลดจาก33% ในไตรมาส3/63 ในขณะที่รายได้ทรงตัว QoQ
ปริมาณและราคาขายที่สูงขึ้นหนุนให้รายได้เติบโตแข็งแกร่ง
ในช่วงไตรมาส4/63 ปริมาณการขายเพิ่มขึ้น +9% (YoY) เป็น 2.1 หมื่นตัน/เดือน โดยหลักเป็นยอดขายให้กับธุรกิจค้าปลีกในประเทศ ขณะที่ปริมาณส่งออกอยู่ที่ 1 พันตัน/เดือน ซึ่งลดลงจากไตรมาส3/63 ที่ 5 พันตัน/เดือน ด้านราคาขายเฉลี่ยสูงขึ้น +11% (YoY) และ +5% (QoQ) เป็น 15.1 บาท/กก.
อัตรากำไรขั้นต้น (GRM) ลดลงในไตรมาส4/63 สู่ระดับ 32% เพราะราคาวัตถุดิบเศษกระดาษสูงขึ้น เนื่องจากอุปทานในยุโรปและสหรัฐลดลงหลังมีการ Lockdown แต่ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าราคาเศษกระดาษจะลดลงเมื่อรัฐบาลจีนแบนการนำเข้าเศษกระดาษในปี 64 และยุโรป & สหรัฐทยอยผ่อนคลาย Lockdown
แนวโน้มไปได้ดี ผู้บริหารคาดว่า GPM จะฟื้นตัวได้ตั้งแต่ Q1/64
ฝ่ายวิจัยคาดการณ์กำไรสุทธิปี 64/65 ขยายตัว +8%/+9% โดยคาดว่าบริษัทจะใช้กำลังการผลิตสูงที่ 90-92% เพราะขยายการส่งออกและเพิ่มลูกค้าใหม่, GPM ขยับขึ้นเป็น 36.5% ในปี 64 และเป็น 37.5% ในปี 65 เพราะเพิ่มสัดส่วนกระดาษคราฟท์ซึ่งมีมาร์จิ้นสูงที่ 30-40%, ต้นทุนเศษกระดาษลดลง (เศษกระดาษคิดเป็น 55% ของต้นทุนการผลิตรวม) และเติบโตสูงไปพร้อมกับ Ecommerce โดยเฉพาะในกลุ่มอาหาร รวมทั้งความพยายามลดการใช้พลาสติกเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม
ดังนั้นจึงแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาพื้นฐาน 18.7 บาท อิงกับ P/E ปี64 ที่ 11.2 เท่า โดยปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรสุทธิปี 63/64ขึ้น 3%/6% สะท้อนยอดขายและ GPM ที่ดีขึ้น ณ ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ P/E ปี 64 ประมาณ 9 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มที่ 12.5 เท่า บริษัทมีROE สูง (ปี 63 อยู่ที่ 28% ขณะที่อุตสาหกรรม 14%) และจ่ายปันผลสูง โดยประมาณการเงินปันผลปี 63/64 ไว้ที่ 0.84/0.92 บาท/หุ้น คิดเป็น DY 5.4%/5.9%