ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ บมจ.เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ หรือ MEGA ว่า ฝ่ายวิเคราะห์ได้ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” จากเดิม “ถือ” ราคาพื้นฐานขยับขึ้นเป็น 47.00 บาท ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 17% ทั้งนี้ราคาพื้นฐานประเมินด้วยวิธี DCF ที่ WACC 7.4% แต่เพิ่ม Terminal Growth เป็น 3% จากเดิมที่ 2% เพื่อสะท้อนอัตราการเติบโตของกำไรที่ดีกว่าคาดไว้เดิม ซึ่งได้มีการปรับประมาณการเพิ่มปี 63,64 และ 65 ในอัตรา +2%/+4%/+7%
ทั้งนี้คาดว่ากำไร 4Q63 ออกมาอยู่ในเกณฑ์ดีเป็น 431 ล้านบาท (+7% y-o-y, +13% q-o-q) สืบเนื่องจากการเติบโตของรายได้ และบริหารสัดส่วนค่าใช้จ่ายขาย-บริหารเทียบกับรายได้ที่ต่ำลง แม้อัตรากำไรขั้นต้นได้ลดลงบ้างตาม Product Mix และยังผลให้กำไรทั้งปี 63 เป็น 1.4 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตที่สูงเป็น +17% y-o-y ถือเป็นสถิติสูงสุดตั้งแต่จัดตั้งบริษัทมา
ด้านแนวโน้มค่าเฉลี่ยอัตราการเติบโตของกำไรใน 2 ปีข้างหน้าแบบ CAGR อยู่ในเกณฑ์ดีเป็น 9% มีงบดุลที่แข็งแกร่งเป็นเงินสดสุทธิ ด้านอัตราผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ในเกณฑ์น่าพอใจที่ประมาณ 2% สำหรับในแง่การประเมินมูลค่าหุ้นไม่ได้แพงซื้อขายด้วย P/E ปี 64 ที่ระดับ 23 เท่าซึ่งถือว่าไม่สูงเทียบกับอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเวชภัณฑ์
คาดจะได้ประโยชน์จากวัคซีนและกัญชา
สำหรับวัคซีนซึ่งจะต้องมีกระจายตัวไปให้บริการอย่างมาก ถือว่าทางบริษัทเป็นผู้นำด้านการกระจายสินค้าทั้ง FCMG และยา ทั้งเมียนมาร์ เวียดนาม และกัมพูชา โดยมีคลังสินค้า เอาท์เล็ทและร้านค้า จำนวนมาก ตั้งอยู่ในประเทศเหล่านี้ โดยเฉพาะการจัดการเกี่ยวกับอุณหภูมิที่ต้องต่ำกว่าปกติ ส่วนทางด้านการผ่อนคลายเกณฑ์การใช้กัญชงและกัญชาในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง อาหาร เครื่องดื่ม และยา ก็คาดว่าในที่สุดบริษัทก็จะได้รับประโยชน์จากการค้นคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ดึงข้อดีของกัญชงและกัญชามาใช้ในอนาคต ซึ่งปัจจุบันรายได้ในสัดส่วนราว 15% มาจากประเทศไทย
จุดเด่นของบริษัทคือ มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เป็นหนึ่งในผู้นำตลาด และรุกตลาดอินโดไชน่าที่มีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต อีกทั้งผลิตภัณฑ์ของบริษัทเน้นการป้องกันโรค รักษาโรค และชะลอความชรา (Nutraceutical Products) ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์โลก (Global Megatrend) ที่จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ประกอบกับการมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งด้วย