ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า จากมีกระแสข่าว “อองซาน ซูจี” ผู้นำรัฐบาลเมียนมาและบุคคลระดับสูงอื่นๆจากพรรครัฐบาล ถูกควบคุมตัวในช่วงเช้าวันจันทร์ (1ก.พ.)ตามเวลาท้องถิ่น จากการเปิดเผยของโฆษกพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยในวันจันทร์ (1ก.พ.) ท่ามกลางกระแสข่าวว่า อาจเกิดการรัฐประหารโดยกองทัพเพื่อล้มรัฐบาล ซึ่งจากการสำรวจล่าสุดมีบริษัทที่ลงทุนในเมียนมาร์ ประกอบด้วย PTTEP, OSP, CBG, TTCL, SCN, META, ECF, TNDT, MGT, GPI , EGCO , SQ , RATCH
“นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์” กรรมการผู้จัดการ บมจ. อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค หรือ ECF เปิดเผยว่า แม้บริษัทจะมีการลงทุนในประเทศเมียนมาร์ อย่างการลงทุนใน “โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ มินบู ขนาด 220 MW” แต่เชื่อว่าการลงทุนในโครงการดังกล่าวจะไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ “รัฐประหารในเมียนมา” แต่อย่างใด เพราะประเมินว่า“ธุรกิจพลังงาน” เป็นภาคธุรกิจที่มีความสำคัญมากในประเทศเมียนมาร์ จึงเชื่อทางการเมียนมาร์ยังคงให้การสนับสนุน ดังนั้นการรับรู้รายได้ “โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ มินบู ขนาด 220 MW” ยังเดินหน้าตามแผนที่วางไว้ โดยเริ่มรับรู้รายได้จากเฟสแรก 50 MW ไปแล้ว ส่วนเฟสที่ 2 3 และ 4 อยู่ระหว่างวางแผนเพื่อก่อสร้างคาดหากครบทั้ง 4 เฟส บริษัทจะมีส่วนแบ่งกำไรไม่ต่ำกว่า 80 -100 ล้านบาท/ปี
ด้าน “น.ส. โศภชา ดำรงปิยวุฒิ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง หรือ GUNKUL กล่าวว่า บริษัทฯ ยืนยันไม่ได้รับผลกระทบจากประเด็นดังกล่าว เนื่องจากบริษัทไม่ได้เน้นโฟสกัสทำธุรกิจในเมียร์มาร์เป็นหลัก เพราะการลงทุนในประเทศยังใช้เงินลงทุนเป็นเงินจ๊าด ส่วนปี 64 บริษัทยังตั้งเป้ารายได้เติบโต 2 หลัก จากรายได้ปี 63 คาดทำได้ทะลุเป้าที่ตั้งไว้เติบโต 15-20% เนื่องจากมีการรับรู้รายได้ขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ประกอบกับมีแบ็กล็อกมูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท ที่ทยอยรับรู้รายได้เข้ามาต่อเนื่อง
www.mitihoon.com