OSP ฝ่าปัจจัยลบการเมือง ‘เมียนมา’ เร่งเครื่องบุกตลาดปั๊มยอดขายฟื้นตัว

621

 

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ บมจ.โอสถสภา หรือ OSP ว่า ฝ่ายวิจัยคาดกำไรไตรมาส4/63 เท่ากับ 850 ล้านบาท เติบโต 8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) แต่ลดลง 8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QOQ) โดยอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 26 bps (YoY) เป็น 35.3% จากโปรแกรม Fit Fast Firm ทั้งในด้านการปรับสูตรเครื่องดื่มการบริหารต้นทุนวัตถุดิบให้ลดลง และประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ดี ยอดขายคาดว่าจะลดลงจากการที่ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังติดลบมากกว่าไตรมาส3/63 ที่ -6.7% ตามการชะลอตัวของการอุปโคบริโภคและการระบาดของโควิดรอบใหม่ ขณะที่ตลาด Functional drink ที่เคยเติบโตต่อเนื่อง ก็ชะลอตัวลงจากฐานสูง อีกทั้งธุรกิจร้านสะดวกซื้อซึ่งเป็นช่องทางขายหลัก ได้รับผลกระทบส่วนหนึ่งจากโครงการคนละครึ่ง

โดยคาดว่าส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้นจากการที่ C-Vitt ขยายกำลังการผลิตเมื่อกลางปี 63 แต่ก็มีค่าใช้จ่ายการตลาดเพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากอยู่ในช่วงขยายช่องทางขายไปยัง Traditional Trade ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยคาดเงินปันผลครึ่งปีหลังปี63 เท่ากับ 0.70 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนครึ่งปี 2%

ขยายกำลังการผลิตและเพิ่มช่องทางการขาย
แม้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่ฝ่ายวิจัยประเมินว่ากำไรปี 63 ยังเติบโตได้ 4% และเพิ่มขึ้น 13% ในปี 64 จากยอดขายที่ฟื้นตัวขึ้นตามการอุปโภคบริโภค และได้ประโยชน์จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังปี63 รวมทั้งการทยอยขยายช่องทางการขายของ C-Vitt ไปยัง Traditional Trade ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนเพียง 20% (อีก 80% ขายทาง Modern Trade) อัตรากำไรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก Fit Fast Firm

ส่วนโรงงานใหม่ที่เริ่มผลิตเครื่องดื่มชูกำลังเองที่เมียนมาร์ (แทนการจ้างผลิต) ตั้งแต่ครึ่งปีหลังปี63 จะช่วยให้อัตรากำไรสูงขึ้น นอกจากนั้น โรงานผลิตขวดแก้วในเมียนมาร์คาดว่าจะเริ่มผลิตในครึ่งปีหลังปี 64

อย่างไรก็ดี ประเด็นการเมืองในเมียนมาร์อาจกดดันราคาหุ้นในช่วงนี้ ฝ่ายวิจัยยังคงแนะนำ “ซื้อ” เมื่อราคาอ่อนตัวลง ราคาเป้าหมาย (DCF) 45 บาท (ปรับลงจากเดิมที่ 50 บาท)

www.mitihoon.com