มิติหุ้น – PORT ก้าวพ้นจุดต่ำสุด สัญญาณกำไรปี 64 เด่นชัด โบรกฟันธงถึงเวลาเทิร์นอะราวด์ หลังธุรกิจท่าเรือกลับมาคึกคัก ชี้รายได้ที่เพิ่มขึ้นทุก 1% จะดันกำไรขยับขึ้น 5% ย้ำชัดจะกลับมาโตทุกไตรมาส จากการฟื้นตัวพร้อมกันในทุกธุรกิจ เคาะ “ซื้อ” พร้อมปรับราคาเป้าหมายขึ้น 4.70 บาท
ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.สหไทย เทอร์มินอล หรือ PORT ผู้ให้บริการท่าเรือเอกชนครบวงจรรายใหญ่ของประเทศไทย โดยนายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ยังคงมีมุมมองเชิงบวกสำหรับ PORT ตามที่ได้ระบุในบทวิเคาะห์ที่คาดการณ์ไตรมาส 4/63 กำไรสุทธิของ PORT จะอยู่ที่ 24-28 ล้านบาท
ก้าวพ้นจุดต่ำสุด-โตแรงทุกไตรมาส
ทั้งนี้หากกำไรเป็นไปตามคาด กำไรสุทธิทั้งปี 2563 จะจบที่ 62-66 ล้านบาท ลดลง 35% – 39% จากปีก่อนหน้า แต่คาดว่าผลประกอบการได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะเข้าสู่โหมด Turnaround พร้อมไปกับภาพการเติบโตในระดับสูงทุกไตรมาสตลอดทั้งปี 2564
ฝ่ายวิจัยมองส่งออกของไทยในปี 2564 นี้ จะกลับมาฟื้นตัว ขณะที่เส้นทางการขนส่งหลัก คือ ไทย-จีน (40% ของรายได้รวม) คาดว่าจะยิ่งคึกคักอีกครั้งจากเศรษฐกิจจีนที่กลับมาโต บวกกับความร่วมมือ RCEP ในภูมิภาคเอเชียที่ถือเป็นข้อตกลงใหญ่ที่สุดในโลก แม้ต้องใช้เวลาในการบรรลุข้อตกลงอย่างเป็นทางการ แต่หลายประเทศเริ่มปรับเส้นทางการค้ามาอยู่ในภูมิภาคมากขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อปริมาณการขนส่งสินค้าทั้งขาเข้าและขาออกที่ควรจะฟื้นตัวจากปี 2563
รวมถึงนโยบายการค้าระหว่างประเทศของประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่สร้างแรงกดดันต่อจีนน้อยลง และค่าเงินบาทที่มีทิศทางอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินหยวน และในระยะสั้นได้แรงหนุนจากการเร่งขนส่งสินค้าก่อนเข้าสู่เทศกาลตรุษจีน (12 ก.พ. 64)
แรงฉุดไม่อยู่-กูรูปรับเป้า 4.70 บ.
ทั้งนี้หากอิงจากประมาณการของฝ่ายวิจัย รายได้ของ PORT ที่เพิ่มขึ้นทุก 1% จะทำให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 5% เมื่อพิจารณาร่วมกับแนวโน้มกำไรปี 2564 ที่จะกลับมาโตทุกไตรมาส, การฟื้นตัวพร้อมกันในทุกธุรกิจ, การเติบโตที่ยังสูงของธุรกิจขนส่งทางบก, ธุรกิจล้างและซ่อมตู้คอนเทนเนอร์ที่หมุนเวียนเร็วขึ้นเพื่อลดปัญหาตู้ขาดแคลน, และการขยายธุรกิจใหม่ในช่วงครึ่งปีหลัง
ฝ่ายวิจัยคาดว่ากำไรสุทธิปี 2564 จะกระชากแรง 84% จากปี 2563 เป็น 114 ล้านบาท และเพื่อให้สอดคล้องกับรอบของการ Turnaround จึงปรับมาประเมินมูลค่าโดยอิง PER เฉลี่ยในอดีตที่ 25 เท่า (เดิม 15 เท่า) ได้ราคาเหมาะสมปี 2564 ใหม่เท่ากับ 4.70 บาท ยังคงแนะนำ “ซื้อ”