ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ บมจ.ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น หรือ SAWAD โดยคาดว่า yield ของสินเชื่อจะยังคงถูกกดดันจากการการที่ BFIT ลดขนาดพอร์ตสินเชื่อ yield สูง ซึ่งลดลงมาสามไตรมาสติดกันแล้ว โดยสินเชื่อของ BFIT ลดลงอีก 25% ในไตรมาส 4/63 หรือเท่ากับลดลง 39% จากระดับสูงสุดในไตรมาส1/63 ทั้งนี้ เพื่อชดเชยพอร์ตสินเชื่อของ BFIT ที่ลดลง ในช่วงสามไตรมาสที่ผ่านมา SAWAD จึงหันมาขยายสินเชื่อผ่านบริษัทลูก (หลักๆ คือ Srisawad Power-2014) ทำให้พอร์ตสินเชื่อโดยรวมยังคงเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เนื่องจากอุปสงค์สินเชื่อในไตรมาส 4/63 ยังคงแข็งแกร่ง จึงคิดว่าพอร์ตสินเชื่อของ SAWAD จะโตในอัตราที่เร่งขึ้นเช่นเดียวกับผู้ประกอบการรานอื่นๆ ที่ 5% (QoQ) และ +11% (YoY) ฝ่ายวิจัยาคิดว่าการที่ BFIT ลดขนาดพอร์ตสินเชื่อลงจะกดดัน yield สินเชื่อของ SAWAD เพราะ yield จากบริษัทลูกอยู่ที่ประมาณ 28% ซึ่งยังต่ำกว่าบริษัทลูกอื่นๆ อีกมาก และหลังจากที่ yield ในไตรมาส3/63 ถูกกดดันให้ลดลง 130bps (QoQ) เหลือแค่ 18.6% และคาดว่าจะลดลงต่อเนื่องอีกเหลือ 18% ในไตรมาส 4/63 ทั้งนี้ สินเชื่อจาก BFIT คิดเป็นประมาณ 30% ของสินเชื่อทั้งกลุ่ม
สำหรับกำไรในไตรมาส 4/63 ได้ใช้สมมติฐานว่า 1.) รายได้จะเร่งตัวขึ้นจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการขายประกันและรายได้อื่นๆ 2.) ต้นทุนทางการเงินลดลงประมาณ 15bps ช่วยลดผลกระทบเรื่อง yield สินเชื่อที่ปรับลดลง 3.) สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน/รายได้จะลดลงเหลือ 35% (จาก 35%-37% ในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา) 4.) ค่าใช้จ่ายในการกันสำรองจะต่ำเพราะบริษัทขยายสินเชื่อ yield ต่ำซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ ทำให้เราคาดว่า credit cost ในไตรมาส4/63 จะอยู่ที่ 91bps และในปี 2563 ที่ 64bps
ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2564 อีก 4%, ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2564F เป็น 71 บาท (P/E 18.5x)
SAWAD กำลังอยู่ระหว่างเตรียมตั้ง JV ร่วมกับ GSB ซึ่งกำหนดเป้าว่าจะเริ่มปล่อยสินเชื่อผ่าน JV ใหม่หลังเดือนมีนาคม 2564 บริษัทยังไม่ตัดสินใจว่าจะรวมทุกรายการของ JV เข้ามาในงบรวม หรือจะรับรู้แง่รายได้จากส่วนได้เสีย (equity income) ในกรณีที่ถือต่ำกว่า 50%
ทั้งนี้ SAWAD ตั้งเป้าจะขยายสินเชื่อ 20% ในปี 2564 ซึ่งฝ่ายวิจัยคาดว่า JV จะช่วยหนุนให้สินเชื่อของบริษัทโตได้เพิ่มอีก 10% จึงปรับประมาณการกำไรปี 2564 ขึ้นอีก 4% จากการปรับลดสมมติฐาน yield สินเชื่อลงเหลือ 18.3% (จากเดิมที่ 19.5%), ปรับเพิ่มรายได้อื่น, และปรับลดค่าใช้จ่ายนากรดำเนินงานลง ซึ่งจะทำให้สัดส่วนต้นทุน/รายได้ลดลงเหลือ 34% (จากเดิมที่ 35%) และเมื่อใช้ P/E ที่ 18.5x ทำให้ฝ่ายได้ราคาเป้าหมายปี 2564F ใหม่ที่ 71 บาท (จากเดิมที่ 68บาท)