คงปฏิเสธไม่ได้ว่า บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ผู้ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการ อื่น ๆ (Non-Oil) ทั้งในและต่างประเทศ เป็นผู้นําตลาดค้าปลีกน้ำมันผ่าน PTT Station ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ถึง 41.9 % และมีสถานีบริการน้ำมันสูงที่สุดถึง 1,968 แห่ง ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ
ได้จัดสรรหุ้น ไอพีโอจำนวน ทั้งสิน 3,000 ล้านหุ้น ให้กับนักลงทุนเป็นที่เรียบร้อยแล้วที่ราคาเสนอขายหุ้นละ 18 บาท/หุ้น โดยพบว่ามีนักลงทุนรายย่อยทั่วไปสนใจเข้าจอง ผ่านตัวแทนจำหน่าย 3 ธนาคาร คือ ธนาคารกรุงเทพ ธนารคารกสิกรไทย และ ธนาคารกรุงไทย ทั้งช่องทางออนไลน์และสาขารวมกว่า 530,000 รายการ ซึ่งถือเป็นดีลประวัติการณ์ที่มีรายย่อยสนใจจองมากที่สุดในประเทศไทยทีเดียว
ซึ่งการจัดสรร สำหรับดีลที่อยู่ในความสนใจของประชาชนที่ล้นหลามเช่นนั้น ได้ใช้ใช้วิธี Small Lot First เพื่อจัดสรรหุ้นให้แก่นักลงทุนทุกคนที่ต้องการอย่างทั่วถึง นักลงทุนที่ได้จองหุ้นไว้สามารถตรวจสอบสิทธิ์ของตนเองได้ตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา โดยคลิ๊กที่นี่ www.settrade.com/OR ส่วนผู้ถือหุ้นของ ‘PTT’ เฉพาะกลุ่มที่มีสิทธิได้รับจัดสรรหุ้น OR ในครั้งนี้ สามารถตรวจสอบผลการจัดสรรหุ้น ได้ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป ที่ www.kasikornbank.com/kmyinvest
“การจัดสรรวิธีดังกล่าวทำให้มั่นใจได้ว่าผู้จองซื้อรายย่อยทุกรายที่สนใจจองซื้อและปฏิบัติตามเงื่อนไขการจองซื้อจะมีโอกาสเป็นเจ้าของหุ้น OR อย่างแน่นอน”นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ โออาร์ กล่าว
อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบพบว่านักลงทุนได้รับการจัดสรรสูงสุด 4,500 หุ้น ทำไมกระแสตอบรับแรงขนาดนี้เด่วจะพาไปดูเนื้อในว่าเข้าทำอะไรอีก
สถานีบริการเป็นมากกว่าปั๊มน้ำมัน
นอกเหนือจากการเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันแล้ว โออาร์ ยังเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจค้าปลีกภายในสถานีบริการน้ำมันของประเทศไทย ด้วยแนวคิด Retailing Beyond Fuel ที่ต้องการสร้างประสบการณ์ภายใน สถานีบริการน้ำมัน PTT Station ให้เป็นมากกว่าสถานีบริการน้ำมัน จึงได้เกิดร้าน Café Amazon (เปิดครั้งแรกเมื่อปี 2545) ปัจจุบันกลายเป็น แบรนด์ร้านกาแฟที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 6 ของโลกโลก เมื่อพิจารณาจากจำนวนสาขาที่มีอยู่ประมาณ 3,168 สาขาและเป็น แบรนด์ร้านกาแฟที่ใหญ่ที่สุดอันดับที่ 12 ของโลกเมื่อพิจารณาจากรายได้ นอกจากนี้ ยังมีร้านอาหารและเครื่องดื่มอื่นๆอีก 319 ร้าน ที่จำหน่ายภายใต้แบรนด์ที่บริษัทฯได้รับสิทธิอนุญาตแต่เพียงผู้เดียวในประเทศ ได้แก่ “เท็กซัส ชิคเก้น” มีแผนจะขยายสาขา“เท็กซัส ชิคเก้น” เพิ่มเฉลี่ยปีละ 20 สาขา หรือแม้แต่ร้าน“ฮั่วเซ่งฮงติ่มซำ”รวมทั้งแบรนด์ที่บริษัทเป็นเจ้าของ ได้แก่ “เพิร์ลลี่ ที” และยังมีร้านสะดวกซื้อภายใต้แบรนด์ “จิฟฟี่” ที่มีประมาณ 1,960 ร้าน
ลูกค้าพาณิชย์มากกว่า 2,600ราย
นอกจากนี้ยังมีศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto จำนวน 56 แห่งในประเทศไทย, รวมทั้งสถานีบริการที่ให้บริการชาร์จไฟฟ้าให้แก่ยานยนต์ไฟฟ้าภายในสถานีบริการน้ำมันแล้วกว่า 25 แห่ง และมีแผนที่จะขยายเพิ่มอีก 4 แห่งในอนาคต ,เป็นผู้นำในตลาดพาณิชย์สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน น้ำมันเตาสำหรับเรือขนส่งและภาคอุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์หล่อลื่น และก๊าซปิโตรเลียมเหลวในประเทศไทยที่มีลูกค้าตลาดพาณิชย์ทั้งหมดมากกว่า 2,600 ราย
บุกตลาดต่างประเทศ
และที่สำคัญ โออาร์ ยังได้นำแพลตฟอร์มผสมผสานระหว่างการค้าปลีกน้ำมันและ non-oil ขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศถึง 10 ประเทศของภูมิภาคนี้จนประสบความสำเร็จ โดยเริ่มขยายไปประเทศแรกที่ กัมพูชา ในปี 2538 ฟิลิปปินส์ ในปี 2540 และลาว ในปี 2555 ซึ่งมีแผนขยายทั้งสถานีบริการน้ำมัน อีก 350 แห่ง จากปัจจุบันที่มีราว 327 แห่ง และร้าน Café Amazon อีก 310 แห่ง จากปัจจุบันมีราว 247 แห่ง นอกจากนี้ยังมีศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto จำนวน 4 แห่ง และร้านสะดวกซื้อ “จิฟฟี่” อีก 86 แห่ง ซึ่งประเทศเหล่านี้ยังมีศักยภาพมากและยังจะเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมต่อประชากร จํานวนรถยนต์ การใช้จ่ายของผู้บริโภคสําหรับอาหารและเครื่องดื่ม ตลอดจนอุปสงค์ของผลิตภัณฑ์น้ำมันสําเร็จรูปในประเทศดังกล่าว จะมีการเติบโตอยู่ในระดับสูง
แผนงานในอนาคต
สำหรับเงินที่ได้จากการเสนาขายไอพีโอในครั้งนี้จำนวน 53,209 ล้านบาทนั้นบริษัทมีแผนการใช้เงินดังนี้ 1.เพิ่มสถานีบริการน้ำมัน PTT Station วางเป้าภายในปี 2568 จะมีสถานีบริการน้ำมัน PTT Stationเป็น 2,500 แห่งด้วยกลยุทธ์การลงทุนที่ใช้ต้นทุนต่ำโดยให้ดีลเลอร์ลงทุนสัดส่วน 80% และ โออาร์ลงทุนสัดส่วน 20% คาดใช้เงินลงทุนราว 13,300 ล้านบาท
2.การขยายธุรกิจสำหรับการตลาดค้าปลีกราว 3,800 ล้านบาท อาทิ ขยายร้าน Café Amazon วางเป้าหมายภายในปี 2568 จะขยายสาขาเพิ่มเป็น 5,800 สาขา 3.ลงทุนในคลังเก็บผลิตภัณฑ์และศูนย์กระจายสินค้าธุรกิจน้ำมันราว 8,5OO ล้านบาท 4.ขยายเครื่อข่ายร้านค้าปลีกอีกราว 9,800 ล้านบาท และ5.ใช้ในการลงทุนในต่างประเทศ อีกราว 5,000-9,500 ล้านบาท
รายได้และกำไรเติบโตทุกๆปี
สำหรับผลการดำเนินงานสิ้นสุดของปี 60 ปี 61 ปี 62 เท่ากับ 543,275.7 ล้านบาท 592,072.8 ล้านบาท 577,134 ล้านบาท ตามลำดับ ส่งผลให้ โออาร์ มีกำไรขั้นต้น เท่ากับ 32,429.4 ล้านบาท 30,490.0 ล้านบาท 34,066.7 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2562 และวันที่ 30 กันยายน 2563 มีรายได้เท่ากับ 430,341.1 ล้านบาท 319,308.4 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้นเท่ากับ 25,801.0 ล้านบาท และ 23,977.5 ล้านบาทตามลำดับ
ย้ำอีกที PEต่ำสุดในกลุ่ม
นอกจากนี้ โออาร์ หากประเมินอัตราส่วนต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ประมาณ 23.9-26.9 เท่า เมื่อกับบริษัทจดทะเบียนที่มีลักษณะการประกอบธุรกิจที่คล้ายคลึงกัน หรือใกล้เคียงกับการประกอบธุรกิจของบริษัท ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯทั้งในและต่างประเทศ เฉลี่ย PE ที่ 31.7 เท่า จึงเป็นอีกส่วนหนึ่งของความน่าสนใจ โดยมีนโบายจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิหลังหักสำรองต่างๆแล้ว นี่คือเรื่องราว ของ โออาร์ หุ้นน้องใหม่ไอพีโอที่มาไม่ธรรมดาจริงๆและไม่แปลกใจที่ โออาร์ถึงได้รับความสนใจขนาดนี้ และราคาจะเหนือจองหรือไม่คงต้องรอลุ้นในวันเข้าเทรดวันแรก 11 กุมภาพันธ์นี้ แต่สำหรับใครที่ยังไม่มีหุ้น โออาร์ยังสามารถเข้าไปเก็บในกระดานได้เพื่อถือลงทุนระยะยาวและรับปันผล
www.mitihoon.com