JMART เล็งขายหุ้นกู้ วงเงินไม่เกิน 2.7 พันล้านบาท หนุนแผนโตกระโดดในธุรกิจด้านการเงิน

111

JMART วางแผนออกหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ คาดว่าวงเงินไม่เกิน 2.7 พันล้านบาท เพื่อชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนด ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และการใช้สิทธิแปลงสภาพบริษัทย่อย รองรับการลงทุนในธุรกิจด้านการเงินที่มีโอกาสเติบโตสูง พร้อมทั้งจัดอันดับความน่าเชื่อถือ จากทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร ที่ระดับ “BBB” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” และอันดับเครดิตหุ้นกู้ ที่ระดับ “BBB-”

นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผยว่า ในปี 2564 JMART เดินหน้าขยายการเติบโตต่อเนื่อง ตามกลยุทธ์ที่วางไว้ เป็นบริษัทโฮลดิ้งคอมพานีที่ลงทุนในบริษัทอื่นที่มีศักยภาพ (Investment Holding Company) โดยบริษัทในกลุ่ม JMART ประกอบด้วย ธุรกิจค้าปลีก การเงิน ประกัน อสังหาริมทรัพย์ และเทคโนโลยี เป็นรายแรกและรายเดียวที่มี Ecosystem ครบวงจรที่สุด เสริมแผน Synergy ที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในอนาคต

ทั้งนี้ JMART ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้ บมจ.เจ มาร์ท หรือ JMART ครั้งที่ 1/2564 จำนวน 2 ชุด คาดว่าวงเงินไม่เกิน 2,700 ล้านบาท โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ รุ่นอายุ 2 ปี 6 เดือน ครบกําหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2566 อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 4.20 ต่อปี และรุ่นอายุ 3 ปี 6 เดือน ครบกําหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2567 อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 4.60 ต่อปี

โดยจะเปิดเสนอขายให้แก่ ผู้ลงทุนทั่วไป และ/หรือ ผู้ลงทุน สถาบัน (Public Offering หรือ PO) และได้แต่งตั้งสถาบันการเงินชั้นนำเป็นผู้จัดการการจัดจําหน่าย ประกอบด้วย ธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จํากัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จํากัด บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จํากัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศ ไทย) จํากัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จํากัด และบริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) และได้แต่งตั้งนายทะเบียนหุ้นกู้ คือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จํากัด (มหาชน) และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้คือ ธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน)

ผู้ลงทุนสามารถสอบถามรายะเอียดเพิ่มเติม และแสดงความจำนงผ่านทางผู้จัดการการจัดจำหน่ายได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้ หนังสือชี้ชวนอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งคาดว่าจะเสนอขายได้ในช่วง วันที่ 9 -11 มีนาคม 2564

ขณะที่ เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2564 ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 2,700 ล้านบาทของ JMART ที่ระดับ “BBB-”

ทั้งนี้ JMART ประกอบธุรกิจลงทุนในธุรกิจอื่น โดยมีการลงทุน ใน บริษัทหลัก ดังนี้ (1) บริษัท เจ มาร์ท โมบาย จํากัด (2) บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จํากัด (มหาชน) (JMT) (3) บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จํากัด (มหาชน) (J) (4) บริษัท ซิงเกอร์ ประเทศไทย จํากัด (มหาชน) (SINGER) (5) บริษัท เจ ฟินเทค จํากัด (ชื่อเดิม บริษัท เจเอ็มที พลัส จํากัด) (6) บริษัท เจ เวนเจอร์ส จํากัด และ (7) บริษัท บีนส์แอนด์ บราวน์ จํากัด โดยธุรกิจที่สร้างกําไรให้ JMART มากที่สุดคือ ธุรกิจติดตามหนี้ และบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ โดย JMT

นายอดิศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายถึง การเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ นับเป็นการวางแผนด้านการเงินเพื่อรองรับการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืน โดย JMART ก่อตั้งมาแล้วกว่า 30 ปี และเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2552 จนถึงวันนี้ 11 ปีที่มีการขยายธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง DNA ของ JMART คือการลงทุนในธุรกิจที่เล็งเห็นว่ามีอนาคต ไม่ว่าจะปล่อยสินเชื่อ ซื้อหนี้ และขยายสาขา โดยบริษัทที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ JMT บริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจบริหารหนี้ และมีการเติบโตต่อเนื่องทุกปี สนับสนุนความสามารถในการทำกำไรของ JMART ให้แข็งแกร่งขึ้น และหากดูลึกลงไปอีก ระหว่างทาง JMART นำเงินไปลงทุนใน เจเอเอส แอสเซ็ท , ซิงเกอร์ , เจ ฟินเทค บริษัทเหล่านี้เริ่มเก็บเกี่ยวผลงานได้อย่างโดดเด่น

รวมทั้ง บริษัทในเครือที่เริ่มฉายแววการเติบโต และเตรียมตบเท้าเข้ามาระดมทุนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เราจึงมีความเชื่อว่า JMART ไม่ใช่แค่บริษัทโฮลดิ้ง แต่เป็นบริษัทที่พิจารณาการลงทุนในธุรกิจที่เป็นโอกาส นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เราต้องอออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ เพื่อเป็นเครื่องมือในการขยายโอกาสทางธุรกิจ และสิ่งเหล่านี้จะส่งผลมาที่ผลกำไรของ JMART ในที่สุด จึงเชื่อมั่นว่า หุ้นกู้ของ JMART จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี สำหรับนักลงทุนในสภาวะตลาดที่มีความไม่แน่นอนและผันผวนสูง เนื่องจากสามารถให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ