สมาคมประกันวินาศภัยไทย (TGIA) ร่วมกับ สมาคมประกันวินาศภัยแห่งประเทศญี่ปุ่น (GIAJ) จัดสัมมนาออนไลน์ (Virtual Seminar) ข้ามประเทศขึ้นเป็นครั้งแรก ในหัวข้อ “Countermeasures Against Motor Fraudulent Claims Taken by General Insurance Companies in Japan” เพื่อแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับมาตรการ การจัดการปัญหาการฉ้อฉลในธุรกิจประกันภัยยานยนต์ในประเทศญี่ปุ่น แก่ผู้ประกอบการไทย
สำหรับการจัดสัมมนาออนไลน์ในครั้งนี้เป็นการต่อยอดความร่วมมือระหว่าง TGIA และ GIAJ ที่ได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) บูรณาการความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ความเชี่ยวชาญระหว่างกัน เพื่อยกระดับและเสริมความแข็งแกร่งในการทำงานของทั้งสองสมาคมฯ ให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น และร่วมกันส่งเสริมพัฒนาตลาดการประกันวินาศภัย พัฒนาเศรษฐกิจ รวมทั้งพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งสองประเทศร่วมกัน
การสัมมนาดังกล่าวได้รับเกียรติจาก นาย Yuji Ito กรรมการผู้จัดการของ GIAJ กล่าวเปิดงาน โดยในช่วงแรกของการสัมมนา GIAJ โดย นาย Hiroto Watanabe รองผู้จัดการ ฝ่าย Claims Management ของบริษัท Tokio Marine & Nichido Fire Insurance Co., Ltd. ได้บรรยายให้ความรู้ในภาพรวมและแบ่งปันประสบการณ์ เกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการปัญหาเรื่องการฉ้อฉลในธุรกิจประกันวินาศภัย
ทั้งนี้ นาย Yuji Ito กรรมการผู้จัดการของ GIAJ ได้แบ่งปันประสบการณ์ รวมถึงกล่าวถึงปัจจัยสู่ความสำเร็จในการบริหารจัดการเรื่องฉ้อฉลในภาคธุรกิจประกันวินาศภัยของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งประกอบด้วย 3 ประเด็นสำคัญ คือ
- ความมุ่งมั่นตั้งใจจริงของผู้บริหารระดับสูงในการบริหารจัดการปัญหาเรื่องการฉ้อฉลในธุรกิจประวินาศภัยและการสร้างความตระหนักให้กับบุคลากรในองค์กรเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนร่วมกันในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ประสบผลสำเร็จ
- การเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากรในองค์กรให้สามารถประเมินมูลค่าความเสียหาย ค่าสินไหมทดแทนที่เหมาะสมกับวินาศภัยที่เกิดขึ้น การถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ระหว่างกันมากขึ้น จะนำไปสู่การประเมินค่าสินไหมทดแทนได้ดียิ่งขึ้น หรือแม้แต่การพิจารณาในขั้นตอนการรับประกันภัยก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
- ความร่วมมือจากทั้งภาคธุรกิจ รวมไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการป้องกันและปราบปรามการฉ้อฉลในธุรกิจประวินาศภัย โดยการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน การขับเคลื่อนแนวทางการดำเนินงานร่วมกัน เพื่อแสดงให้เห็นถึงเครือข่ายในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ นาย Yuji Ito ยังได้กล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการบริหารจัดการข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก โดยระบุว่า ควรมีการนำระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) มาใช้ในการบริหารจัดการ โดยส่วนที่สำคัญที่สุดคือ “การสร้างฐานข้อมูลร่วมกันของภาคธุรกิจ” ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของผู้เอาประกันภัย ข้อมูลการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เอาประกันภัยโดยรวม ซึ่งฐานข้อมูลจำนวนมากเหล่านี้จะทำให้ระบบการวิเคราะห์ข้อมูลมีความแม่นยำและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น แม้ว่าการลงทุนในการพัฒนาการบริหารจัดการข้อมูลที่นำระบบ AI มาใช้เช่นนี้จะมีค่าใช้จ่ายในช่วงแรกของการลงทุน และการดำเนินงานของระบบที่ค่อนข้างสูง แต่หากนำมาเปรียบเทียบกับค่าสินไหมทดแทนที่บริษัทจะต้องจ่ายให้กับกลุ่มผู้เอาประกันภัยที่ฉ้อฉลการประกันภัยไปนั้น
กล่าวได้ว่า การลงทุนดังกล่าวมีความคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง ยกตัวอย่างกรณีของประเทศญี่ปุ่นที่มีการนำระบบ AI มาใช้ในระบบตรวจจับการฉ้อฉล (Fraud Detection) ด้วยเงินลงทุนในระยะที่ 1-3 ประมาณ 180 ล้านเยน (ราว 60 ล้านบาท) และมีค่าใช้จ่ายดำเนินงานปีละกว่า 100 ล้านเยน (กว่า 30 ล้านบาท) ในขณะที่ในแต่ละปีประเทศญี่ปุ่นมีมูลค่าความเสียหายอันเกิดจากการฉ้อฉลประกันวินาศภัยกว่า 10 เท่าของค่าใช้จ่ายดำเนินงานของระบบดังกล่าว ดังนั้น จึงถือได้ว่าการนำระบบนี้มาใช้มีความคุ้มค่า
ด้านนายกี่เดช อนันต์ศิริประภา ผู้อำนวยการบริหารสมาคมประกันวินาศภัยไทย ให้ข้อมูลว่า สำหรับธุรกิจประกันวินาศภัยไทยนั้น ปัจจุบันทุกภาคส่วนต่างตระหนักถึงความสำคัญในการบริหารจัดการปัญหาเรื่องการฉ้อฉลประกันภัย เนื่องจากการฉ้อฉลประกันภัยนั้นนอกจากจะเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายแล้ว ยังส่งผลต่อต้นทุนในการประกอบธุรกิจสูงเกินกว่าที่ควรจะเป็น โดยบริษัทประกันภัยจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้กระทำการฉ้อฉล
อีกทั้งจะยังส่งผลกระทบต่อผู้ทำประกันภัยที่มีความสุจริตใจที่ต้องการใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงในชีวิตและทรัพย์สินอีกด้วย ทั้งนี้ มูลค่าผลกระทบของการฉ้อฉลประกันภัยของธุรกิจประกันวินาศภัยในประเทศไทยนั้น ผู้เชี่ยวชาญในภาคธุรกิจระบุว่า อาจมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 10 ของมูลค่าการจ่ายค่าสินไหมทดแทนในแต่ละปี โดยมูลค่าของค่าสินไหมทดแทนโดยรวมของธุรกิจประกันวินาศภัยไทยในปี 2562 นั้นเท่ากับ 139,120 ล้านบาท จึงอาจประมาณการได้ว่ามูลค่าการฉ้อฉลในภาคธุรกิจฯ อาจสูงถึง 13,912 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 6 ของมูลค่าเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง จึงนับเป็นผลกระทบที่ค่อนข้างสูงซึ่งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่ควรที่จะมองข้ามไป