NER โชว์งบปี63รายได้ทะลุ1.6หมื่นล. เร่งขยายโรงงานรับออเดอร์พุ่ง

660

NER เผยผลประกอบการปี 2563 กวาดรายได้จากการขายรวม 16,349.78 ล้านบาท เติบโต 25.71% และกำไรสุทธิ 858.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59.35% จากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นจากโรงงานแห่งที่ 2 พร้อมขยายโรงงานอีก 5 หมื่นตันในปลายปี 64 เพื่อรองรับออเดอร์ลูกค้าทั้งรายใหม่และรายเก่าที่เพิ่มมากขึ้น มั่นใจปี 2564 เติบโตอย่างต่อเนื่อง

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยภาพรวมผลการดำเนินงาน ปี 2563 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 บริษัทมียอดขายสินค้ารวม 16,349.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,344.28 ล้านบาท หรือ 25.71% จากช่วงเดียวกันของปี 2562 ที่มีรายได้รายได้จากการขายสินค้ารวม 13,005.50 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิรวม 858.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 319.80 ล้านบาท หรือ 59.35% เมื่อเทียบเดียวกันของปี 2562 ที่บริษัทมีกำไรจากการยอดขายที่ 538.88 ล้านบาท

โดยผลการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากเมื่อเดือนกรกฎาคม 2563 โรงงานยางแห่งที่ 2 ได้เริ่มดำเนินการผลิตยางแท่งและยางผสม จึงส่งผลให้ปริมาณคำสั่งซื้อในส่วนของยางแท่งและยางผสมเพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีปริมาณขายยางเพิ่มขึ้น 78,703 ตัน หรือ 28.10% จากปี 2562 ที่ 280,117 ตัน เป็น 358,820 ตัน ในปี 2563 ประกอบกับคำสั่งซื้อยางผสมคอมปาวด์ ซึ่งเป็นสินค้าใหม่ ที่มียอดจากเพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่ 1,646 ล้านบาท จากคำสั่งซื้อจากลูกค้าประเทศจีนและสิงคโปร์อีกด้วย

ด้านสัดส่วนรายได้จากการขาย แบ่งเป็นในประเทศ 10,587.66 ล้านบาท หรือ64.76% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 2,143.88 ล้านบาทหรือ 25.39% จากการย้ายฐานการผลิตของลูกค้าจีนมายังประเทศไทย และต่างประเทศ 5,762.12 ล้านบาท หรือ 35.24% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 1,200.40 ล้านบาท หรือ 26.3% เนื่องจากการทำสัญญาระยะยาว (Long Term Contact) กับลูกค้าต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบจากปี 2562

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2564 บริษัทตั้งเป้ารายได้ 22,000 ล้านบาท โดยมองว่าความต้องการใช้ยางในอุตสาหกรรมยังดีต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยหนุนหลายด้านทั้งเรื่องราคายาง เรื่องแคมเปญรถเก่าแลกรถใหม่จากประเทศจีน และความต้องการการใช้ยางทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมุ่งเดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่ๆโดยเฉพาะประเทศอินเดีย เนื่องจากเป็นตลาดใหญ่และอัตราการเติบโตค่อนข้างสูง ซึ่งล่าสุดอยู่ระหว่างการเจรจาลูกค้ารายใหญ่ในอินเดีย จำนวน 2 – 3 ราย เบื้องต้นคาดจะสามารถสรุปรายละเอียดเงื่อนไขคำสั่งซื้อที่ชัดเจนได้ภายในปี 2564 นี้

ส่วนปริมาณการขายยางพารา บริษัทคาดว่าจะสามารถทำยอดขายยางพาราอยู่ที่ 410,000 ตัน จากกำลังการผลิตทั้งหมด 460,000 ตัน นอกจากนี้ในปลายปี 2564 บริษัทมีแผนจะขยายโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 50,000 ตัน เป็น 510,000 ตัน โดยจะลงทุนซื้อเครื่องจักรประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อรองรับลูกค้าทั้งรายใหม่และรายเก่าที่ต้องการออเดอร์ที่เพิ่มมากขึ้น

สัดส่วนรายได้ปี 2564 ทางบริษัทยังวางนโยบายการจำหน่ายสินค้าในประเทศและต่างประเทศเป็น 60 : 40 ซึ่งในสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศแบ่งเป็น จีน 70% , ญี่ปุ่น 20% และอื่นๆอีก 10% เช่นสิงคโปร์ อินเดีย บังคลาเทศ เป็นต้น โดยมองว่าเป็นอัตราส่วนที่เหมาะสมของลูกค้าในประเทศที่มีการเพิ่มกำลังการผลิตจากการย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีนย้ายมาตั้งโรงงานอยู่ที่ประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น และลูกค้าต่างประเทศที่มีความต้องการใช้ยางธรรมชาติอยู่ แต่ปริมาณของผู้ส่งออกยางธรรมชาติในประเทศไทยมีปริมาณลดลง ด้านราคาขายเฉลี่ยในปี 2564 จะสูงกว่าปี 2563 ค่อนข้างมากเนื่องจากความต้องการใช้ยางธรรมชาติทั่วโลกยังมีมากกว่าปริมาณยางธรรมชาติที่ออกมาทั่วโลก อีกทั้งคุณภาพยางธรรมชาติของประเทศไทยมีคุณภาพดี และนิยมใช้เป็นวัตถุดิบหลักของการผลิตยางล้อรถยนต์ทั้งในและต่างประเทศ

สำหรับความคืบหน้าแผ่นรองพื้นในคอกปศุสัตว์นั้นอาจจะมีความล่าช้าออกไปอีก เนื่องจากสถานการณ์โควิด -19 ทำให้การเดินทางไปเพื่อพูดคุยและเจรจารับออเดอร์จากลูกค้ามีการชะลอออกไป อย่างไรก็ตามบริษัทมีความพร้อมในด้านการผลิตแล้ว หากสถานการณ์กลับมาปกติ และมีคำสั่งซื้อจากลูกค้า บริษัทสามารถเริ่มผลิตได้ทันที โดยคาดการณ์ว่าสินค้านี้จะมี Margin อยู่ที่ประมาณ 25%