มิติหุ้น – อีสท์สปริง อินเวสท์เมนทส์ (Eastspring) ผู้จัดการสินทรัพย์ชั้นนำในภูมิภาคเอเชีย ประกาศความสำเร็จของการควบรวมกิจการระหว่างบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด (TMBAM Eastspring) และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด (Thanachart Fund Eastspring) ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2564 โดยการรวมเป็นหนึ่งเดียวกันของทั้งสององค์กรนี้ถือเป็นการควบรวมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในตลาดการเงินและการลงทุนของประเทศไทย และคาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการสุทธิ (Asset under management หรือ AUM) รวมกันมากกว่า 400,000 ล้านบาท ขึ้นแท่นทำเนียบ 5 อันดับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดร้อยละ 8
รวมพลังความแข็งแกร่งทั้งในและต่างประเทศ
อีสท์สปริง อินเวสท์เมนทส์ เป็นผู้จัดการสินทรัพย์ชั้นนำระดับโลกของกลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียล (Prudential) ที่ได้ดำเนินงานมากว่า 25 ปี บริหารจัดการสินทรัพย์รวมกว่า 220,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 6.57 ล้านล้านบาท[1]) มีจุดแข็งจากการดำเนินธุรกิจหลักในเอเชีย โดยมีสำนักงานสาขาในเอเชียที่มากกว่าบริษัทจัดการลงทุนอื่นๆ คือครอบคลุม 11 ประเทศทั่วเอเชีย ทำให้ทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญและมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับตลาดเอเชีย จึงทำให้เรามีความแตกต่างอย่างโดดเด่น นอกจากนี้ยังมีการผสานความร่วมมือกับพันธมิตรการลงทุนชั้นนำระดับโลกในการบริหารจัดการกองทุน จึงพร้อมและเชี่ยวชาญการบริหารจัดการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีอยู่หลากหลายทั่วโลก ความสำเร็จระดับสากลของอีสท์สปริง อินเวสท์เมนทส์ ทำให้ได้รับรางวัลต่างๆมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเป็นบริษัทจัดการกองทุนยอดเยี่ยมปี 2018 ซึ่งเป็นการได้รับรางวัลถึง 3 ใน 4 ปีติดต่อกันของ Asia Asset Management Awards
ในด้านของ TMBAM Eastspring และ Thanachart Fund Eastspring ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนในประเทศ นั้น Thanachart Fund Eastspring มีจุดแข็งในด้านการลงทุนเชิงรุกในหุ้น สินทรัพย์ผสม ตลาดเงิน และตราสารหนี้ ในขณะที่ TMBAM Eastspring มีความสามารถด้านการลงทุนเชิงรับในหุ้น อสังหาริมทรัพย์ ตราสารหนี้ และกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศด้วยจุดแข็งที่แตกต่างแต่ส่งเสริมซึ่งกันและกันของทั้งสองบริษัท ผนวกกับ Eastspring Investments ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนระดับโลก จึงเป็นการยกกำลังศักยภาพการลงทุนของเราจากจุดแข็งด้านมุมมองเชิงลึกในประเทศ (Local Insight) และความเชี่ยวชาญระดับโลก (Global Expertise) นั่นเอง
นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ กรรมการผู้จัดการ TMBAM Eastspringและ Thanachart Fund Eastspring กล่าวเพิ่มเติมว่า “เรามุ่งมั่นดำเนินการเพื่อให้การควบรวมกิจการระหว่างบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนชั้นนำ 2 แห่งของไทยสำเร็จเป็นรูปธรรม ซึ่งตลอดปี 2563 ที่ผ่านมาทั้งสองบริษัทได้เริ่มทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อช่วยให้ผู้ลงทุนของเราให้ก้าวผ่านปีที่ท้าทายจากความผันผวนของตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลก โดยเฉพาะผลกระทบจาก COVID-19 ในขณะเดียวกัน เรายังได้บุกเบิกโอกาสการลงทุนใหม่ๆแก่ผู้ลงทุนไทยเพื่อรองรับการเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และภายใต้แบรนด์ใหม่ อีสท์สปริง อินเวสท์เมนทส์ (Eastspring Investments) ที่คาดว่าการควบรวมจะแล้วเสร็จประมาณเดือนกรกฎาคม 25642 เราจะทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวตามเป้าหมายร่วมในการทำงานของเรา เพื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญในเอเชีย เพื่อการลงทุนในอนาคตของคุณ (Experts in Asia. Invested in Your Future.)”
(2ขึ้นกับกฎหมายและการพิจารณาอนุมัติของหน่วยงานด้านการกำกับของไทย)
เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ไม่ไกลเกินไปถึง
ด้วยการมุ่งเน้นที่ชัดเจนในการนำเสนอแนวคิดและมุมมองการลงทุนพร้อมการบริหารจัดการสินทรัพย์ระดับโลกแก่ชาวไทย ให้สามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายทั่วโลก เราตั้งเป้าหมายให้มูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการสุทธิ (AUM) ในประเทศไทยที่เติบโตแตะ หนึ่งล้านล้านบาทภายในปี 2568 และสร้างการรับรู้และจดจำสำหรับการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนระดับโลก ด้วยการนำนวัตกรรมมาใช้ตอบโจทย์การลงทุน เน้นกลยุทธ์การสร้างโอกาสลงทุนผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (Foreign investment funds หรือ FIFs) ซึ่งเมื่อผสมผสานกับอีสท์สปริง อินเวสท์เมนทส์ ที่มีมุมมองและความชำนาญในระดับโลก จึงพร้อมตอกย้ำความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งและเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ที่ผู้ลงทุนชาวไทยนึกถึงเมื่อมองหาโอกาสการลงทุนยังต่างประเทศ
ในช่วงที่ผ่านมาเราได้พาผู้ลงทุนไทยไปแสวงหาโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ กว่า 1 ใน 3 ของการออกกองทุนเพื่อระดมทุนครั้งแรก (IPO) สำหรับกองทุนต่างประเทศ (FIF) ในรอบปี 2563 หรือกว่า 40,000 ล้านบาทคือผลงานของ TMBAM Eastspringและ Thanachart Fund Eastspring ซึ่งสินทรัพย์ดังกล่าวได้เติบโตขึ้นเป็นกว่า 60,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี กองทุนที่โดดเด่น อาทิ กองทุน T-ES-GINNO และ TMB-ES-GINNO ที่มีการลงทุนในกองทุนหลัก คือ กองทุน Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund เพียงกองทุนเดียว ด้วยมีแนวทางการลงทุนแบบใหม่ ขับเคลื่อนด้วยงานวิจัยที่ทันสมัยเน้นลงทุนในนวัตกรรมแห่งอนาคตที่คาดว่าจะมีโอกาสเติบโตอย่างก้าวกระโดดในสิบปีข้างหน้า โดยจากการเปิดเสนอขายในช่วงเดือนตุลาคม 2563 จนถึงปัจจุบัน ได้รับการตอบรับอย่างดียิ่ง สินทรัพย์ภายใต้การจัดการสุทธิ (AUM) เติบโตอย่างต่อเนื่องจนมียอดรวมกันกว่า 15,000 ล้านบาท (ในด้านผลการดำเนินงานตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 63 จนถึงวันที่ 25 มกราคม 2564 นั้น กองทุน T-ES-GINNO ทำผลตอบแทนได้ 51.90% Benchmark (MSCI World Net Total Return USD Index) 19.22% ในขณะที่ TMB-ES-GINNO ทำผลตอบแทนได้ 50.72% Benchmark (MSCI World Net Total Return USD Index) 19.22% –แหล่งที่มา Morningstar, 25 มกราคม 2564)
ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัวในปีนี้ และขณะที่อายุเฉลี่ยของคนไทยยาวนานขึ้นรายได้ของประชากรและอัตราการออมเงินกลับยังอยู่ในระดับต่ำ คนไทยส่วนมากยังออมและลงทุนผ่านช่องทางการฝากเงินมากกว่าการใช้บริการกองทุนรวม และเมื่อผลตอบแทนของพันธบัตรและอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ยังอยู่ในระดับที่ต่ำมากซึ่งทำให้ผลตอบแทนในระยะยาวไม่เพียงพอกับการใช้ชีวิตในอนาคต ธุรกิจกองทุนรวมจึงมีโอกาสของการเติบโตได้อีกมาก การสร้างมูลค่าการลงทุนตามการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยการนำเสนอกลยุทธ์และผลิตภัณฑ์การลงทุนที่เป็นเอกลักษณ์ในตลาดโลก พร้อมโซลูชันด้านการลงทุนที่สมบูรณ์ เข้าถึงได้ง่าย (Easy Access) เพื่อช่วยให้ผู้ลงทุนไทยปลดล็อกศักยภาพการลงทุน และพร้อมด้วยทีมงานด้านที่ปรึกษาการลงทุนมืออาชีพที่ช่วยแนะบริหารจัดการพอร์ตที่สามารถกระจายความเสี่ยงในการลงทุนตามที่ตนเองยอมรับได้ (Asset Allocation) ผู้ลงทุนไทยจึงจะมีโอกาสไปถึงเป้าหมายทางการเงินที่แตกต่างกันได้ สร้างความมั่งคั่งและยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
ในการทำงานร่วมกับธนาคารทีเอ็มบีและธนาคารธนชาต เราพร้อมร่วมมือกับธนาคารในการช่วยเติมเต็มประสิทธิภาพของการจัดพอร์ตลงทุนที่เข้าใจได้ง่าย เลือกได้ และเปี่ยมประสิทธิภาพ เพื่อลดทอนความยุ่งยากของผู้ลงทุน เรายังมุ่งมั่นที่จะนำเสนอโซลูชันและนวัตกรรมด้านการลงทุนที่มีลักษณะเบ็ดเสร็จ (Total Solution) ที่เมื่อผู้ลงทุนใช้บริการของเราแล้วจะได้ครบทั้งสุขภาพกายและสุขภาพทางการเงินที่ดี และเป็นคู่ชีวิตการลงทุนที่ดีของผู้ลงทุนทุกท่านร่วมกับ พรูเด็นเชียลบริษัทแม่ของเราด้วยเช่นกัน
“การควบรวมกิจการที่กำลังดำเนินการในขณะนี้ พลังของความชำนาญในประเทศไทยกับศักยภาพของอีสท์สปริง อินเวสท์เมนทส์ ในระดับสากลจะช่วยให้เกิดนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลาย และสามารถมอบโซลูชันด้านการลงทุนที่สมบูรณ์ ช่วยให้ผู้ลงทุนไทยสามารถเข้าถึงโอกาสระดับโลก และตรงกับความต้องการของลูกค้าชาวไทยแต่ละรายได้ดียิ่งขึ้น” นายอดิศรกล่าวสรุป
www.mitihoon.com