L&E ส่งซิกแนวโน้มธุรกิจปี 64 ตั้งธงรายได้โต 15-25%

51

มิติหุ้น – L&E ส่งซิกแนวโน้มธุรกิจปี 64 ปรับตัวดีขึ้น ผลจากการเลื่อนส่งมอบงานเข้ามาในปีนี้ และการทยอยรับรู้รายได้ของงานในมือ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 1,200 ลบ. “อนันต์ กิตติวิทยากุล” แม่ทัพใหญ่ เผย ผลงานปี 64 จะได้แรงสนับสนุนจากธุรกิจใหม่ ลุยโปรเจค IoT ตอบโจทย์งานภาครัฐและเอกชน เชื่อจะเป็นเทรนด์ในอนาคต ซึ่งถือว่าบริษัทฯ เป็นหนึ่งในผู้นำตลาด ชูโมเดล “Total Lighting Solution Provider” สร้างความมั่นใจให้ลูกค้าในการได้รับบริการและตอบโจทย์ลูกค้าที่ดีที่สุด ภายใต้กระแสเศรษฐกิจดิจิทัล รวมไปถึง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐหนุนคำสั่งซื้อ โดยตั้งธงรายได้โต 15-25% จากผลประกอบการปี 63 มีรายได้จากการขายและให้บริการ 2,412 ลบ. กำไรสุทธิอยู่ที่ 37.1 ลบ. ด้านบอร์ดชงจ่ายปันผล 0.075 บาทต่อหุ้น
นายอนันต์ กิตติวิทยากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ L&E ผู้นำธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายโคมไฟฟ้า รวมทั้งอุปกรณ์แสงสว่างรายใหญ่ของประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2564 เชื่อว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา จากการรับรู้รายได้ของงานในมือ ปัจจุบันมีอยู่ที่ 1,200 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานที่เลื่อนมาจากปี 2563 และคาดจะรับรู้ทั้งหมดในปีนี้ พร้อมตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 15-25% โดยยังคงโมเดลธุรกิจ “Total Lighting Solution Provider” เพื่อสร้างความมั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับบริการที่ดีที่สุดและสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้เป็นอย่างดี  ภายใต้กระแสเศรษฐกิจดิจิทัลที่เรากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ บริษัทฯ จะยังคงให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับ IoT ซึ่งบริษัทฯ ได้พัฒนาจนกล่าวได้ว่าอยู่ในขั้นแนวหน้าของประเทศ มีผลงานในด้านนี้จำนวนมาก เช่น สมาร์ทซิตี้ ที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี  โคมไฟถนนอัจฉริยะที่วังจันทน์ วัลเลย์ จังหวัดระยอง และโคมไฟฟ้าโซล่าร์อัจฉริยะรอบสนามบินจำนวน 22 แห่ง ของกรมท่าอากาศยาน เป็นต้น และมีแนวโน้มว่าธุรกิจด้านนี้กำลังเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
สำหรับผลประกอบการงวดปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและให้บริการ 2,412 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 297 ล้านบาท หรือลดลง 11% เป็นผลจากธุรกิจต่าง ๆ ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ชะลอการลงทุนและซื้อสินค้าจากบริษัทลดลง รวมทั้งราคาต่อหน่วยสินค้าบางรายการต้องปรับตัวลดลง นอกจากนี้ยังมีงานโครงการจำนวนหนึ่งมูลค่าประมาณ 256 ล้านบาท ที่ลูกค้าขอเลื่อนการรับมอบงานจากปี 2563 ไปเป็นปี 2564
บริษัทฯ มีกำไรสุทธิสำหรับงวด 37.1 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 35.1 ล้านบาท หรือลดลง 49% เป็นผลจากกำไรขั้นต้นจากการขายรวมรายได้ลดลง 156.7 ล้านบาท เป็นผลจากรายได้จากการขายและให้บริการลดลง และอัตรากำไรขั้นต้นได้ปรับตัวลดลงจาก 34.5% ในปี 2562 เป็น 32.2% ในปี 2563 เนื่องจากบริษัทฯ ได้ขายสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าในสัดส่วนที่ลดลง รวมทั้งมีสินค้าบางรายการต้องปรับราคาขายลง ในขณะที่การลดต้นทุนผลิตกระทำได้น้อยกว่า โดยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารรวมดอกเบี้ยจ่ายลดลง 109 ล้านบาท เป็นผลจากค่าใช้จ่ายที่แปรผันตามผลการดำเนินงานได้ปรับตัวลดลง และค่าใช้จ่ายในการเดินทางและส่งเสริมการขายลดลง ซึ่งเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19  ขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลง 12.8 ล้านบาท และส่วนที่เป็นของส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบ 0.2 ล้านบาท
“ปี 2563 ที่ผ่านมาเป็นปีที่มีความท้าท้ายอย่างยิ่ง จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้การลงทุนหรือโครงการต่างๆ ชะลอตัว ประกอบกับราคาสินค้ามีการแข่งขันรุนแรง และราคาสินค้าต้องปรับตัวลดลง มีผลต่อยอดขาย” นายอนันต์ กล่าว
บริษัทฯ ให้ความสําคัญกับการเติบโตที่ยั่งยืน โดยมีนโยบายรักษาวินัยทางการเงิน และจะรักษาสัดส่วน D/E ที่เหมาะสม ไม่ให้เกิดปัญหาความเสี่ยงจากการลงทุนมากเกินไป  อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงคำนึงถึงผู้ถือหุ้นเป็นหลัก แม้ผลประกอบการปี 2563 จะลดลง แต่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเห็นสมควรนำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 พิจารณาจ่ายเงินปันผลประจำปี สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 โดยจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.075 บาทต่อหุ้น กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record Date) วันที่ 5 พ.ค. 2564 และจ่ายเงินปันผลวันที่  21 พ.ค. 2564 โดยบริษัทฯ จะจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น วันที่ 28  เม.ย. 2564 เพื่อพิจารณามติดังกล่าว

www.mitihoon.com