SFLEX ปี 63 กำไรเดือด 142.80 ลบ. แจกปันผลเป็นเงินสด 0.045 บ./หุ้น ปักหมุดปี 64 รายได้โต 1,560 ล้านบาท ทุบสถิติใหม่

51

 

มิติหุ้น-SFLEX โตแกร่ง! สวนกระแสโควิด ปี 63 กวาดรายได้กว่า 1.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% เทียบปี 62 ขณะที่กำไรพุ่งกระฉูดแตะ 142.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 81.64% บริหารต้นทุนเจ๋ง บอร์ดเคาะจ่ายปันผล 0.045 บาท/หุ้น บิ๊กบอส “ปรินทร์ธรณ์ อภิธนาศรีวงศ์”วางเป้าปี 64 รายได้โตเกิน 1,560 ล้านบาท หนุนผลงานออลไทม์ไฮ หลังเดินหน้าขยายกำลังการผลิต

นายสมโภชน์ วัลยะเสวี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์เฟล็กซ์ จำกัด ( มหาชน) (SFLEX) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2563 บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 142.80 ล้านบาท เทียบกับปี 2562 มีกำไรสุทธิ 78.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 81.64% โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในปี 2563 SFLEX  มีรายได้รวม 1,415.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.13% จากรายได้รวม 1,273.35 ล้านบาทในปี2562 ทั้งนี้บริษัทฯมีรายได้จากการขายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน( Flexible Packaging ) จำนวน 1,398.05 ล้านบาท โดยสามารถจัดประเภทเป็น 2 ประเภทหลัก ประกอบด้วย กลุ่มสินค้าอุปโภค (Non-Food) จำนวนเงิน 1,089.90 ล้านบาท และกลุ่มสินค้าบริโภค(Food) จำนวนเงิน 308.16 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 77.96% และ22.04% ตามลำดับ อย่างไรก็ตามหากเปรียบเทียบกับปี 2562 รายได้จากการขาย Flexible Packaging มีสัดส่วน Non Food และ Food เท่ากับ 79.62% และ 20.38% ตามลำดับ

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯเมื่อวันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา ยังมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลในในอัตรา0.045 บ./หุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD 19 เม.ย. และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 6 พฤษภาคม 2564

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SFLEX กล่าวว่า ในปี 2564 บริษัทฯวางเป้าหมาย รายได้จากการขาย Flexible Packagingไว้ไม่น้อยกว่า 1,560 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยผลักดันผลการดำเนินงานสร้างสถิติสูงสุดใหม่ จากการขยายกำลังการผลิตของโรงงานแห่งใหม่  โดยปีนี้คาดว่าจะมีกำลังการผลิตขยับเพิ่มขึ้นเป็น 270 ล้านเมตรต่อปี จากปีที่ผ่านมา 215 ล้านเมตรต่อปี พร้อมกันนี้ยังได้ขยายตลาดเชิงรุกทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยในการผลักดันให้มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นยังได้ขยายฐานลูกค้าทั้งกลุ่ม Food มากขึ้น โดยคาดว่าปีนี้จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 25-30% และที่เหลือราว 70-75% เป็นยอดขายในกลุ่ม Non-Food  เป็นต้น  ขณะเดียวกันบริษัทมีการขยายตลาดบรรจุภัณฑ์เกรดพรีเมี่ยมไปสู่กลุ่ม  Food และกลุ่มเครื่องมือแพทย์  ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ให้มาร์จิ้นสูงทำให้คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิในปีนี้จะยืนเหนือระดับ 11% ได้

www.mitihoon.com