นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเป็นไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้นในปีนี้จากความคืบหน้าของวัคซีนต้าน Covid-19 ซึ่งรับการอนุมัติและแจกจ่ายในหลายประเทศ โดยในปัจจุบัน วัคซีนต้าน Covid-19 ได้ถูกแจกจ่ายไปแล้วกว่า 279 ล้านโดสทั่วโลก โดยคาดว่าวัคซีนเหล่านี้น่าจะสามารถแจกจ่ายให้ประชาชนมีภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd immunity) และยับยั้งการระบาดโดยธรรมชาติได้ในปีนี้ ทำให้นักลงทุนลดความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดระลอกใหม่ลงไปมาก
ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นโลกภาพรวมขณะนี้ เข้าสู่ช่วงการปรับฐาน หลังจากขึ้นมาต่อเนื่องนับตั้งแต่จุดต่ำสุดช่วงการแพร่ระบาด Covid-19 ปัจจุบัน นักลงทุนหลายคนกังวลฟองสบู่ Bond Yield 10 ปีสหรัฐฯเร่งตัวขึ้นสะท้อนมุมมองเงินเฟ้อเร่งตัวในอนาคตและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของรัฐบาลสหรัฐฯ การเพิ่มขึ้นของ Yield กดดันมุมมองหุ้นเติบโตโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี เนื่องจากราคาที่เพิ่มขึ้นไปมาก ทำให้ Earnings Yield Gap ผลต่างระหว่างปันผลตอบแทนคาดหวังเปรียบเทียบกับ Bond Yield แคบกว่าหุ้น Value ที่มี Dividend สูง
Yield ขยับกดดันมุมมองหุ้นเติบโตกลุ่มเทคโนโลยี
นอกจากนี้ กลุ่มหุ้นที่ราคา Laggard อยู่ จึงมีการ Switch หรือ Rotate กลุ่มลงทุนหรือเรียกว่า มีการสลับจากหุ้น New Economy Theme ที่ปรับตัวขึ้นมาโดดเด่นในรอบปีที่ผ่านมากลับไปสู่หุ้น Old Economy Theme ที่ ระดับราคา ยังต่ำอยู่และยังไม่ได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานที่ดีขึ้นมาก
“เรามองว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้นไม่เกิน 6 เดือน โดยเฉพาะถ้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของสหรัฐฯผ่านเป็นกฏหมาย โดยมองว่าอาจจะผ่านในกลางเดือนนี้และวงเงินแม้ว่าจะลดลงจาก 1.9 ล้านมาที่ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงเป็นวงเงินกระตุ้นที่สูงถึง 7-9 % ต่อ GDP หุ้นเติบโตคุณภาพดีหลายๆตัวอาจจะมีงบการเงินออกมาดีติดต่อกันสัก 2-3 ไตรมาส (ไตรมาส 4/2020 ต่อเนื่องถึงไตรมาส 1-2/2021) มูลค่าที่ตลาดมองว่าแพงมากในปัจจุบันจะเริ่มแพงลดลงตามรายได้/กำไรที่เติบโตตามทัน บลจ.วรรณ มองว่าตลาดหุ้นทั่วโลกยังอยู่ในโซนขาขึ้น โดยนักลงทุนสถาบันส่วนใหญ่มีมุมมองต่อการฟื้นตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียนจะปรับตัวดีขึ้นมากในปีนี้ และมีมุมมองที่ Bullish หุ้นค่อนข้างมาก” นายพจน์กล่าว
ให้น้ำหนักลงทุนหุ้นต่างประเทศ
ในส่วนของคำแนะนำการลงทุน บลจ.วรรณ ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นต่างประเทศ โดยมองว่า พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปเน้นด้านเทคโนโลยีมากขึ้น ประกอบกับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นต่างประเทศ ได้เปิดโอกาสการเข้าถึงบริษัทดังกล่าว ทั้งที่เป็นผู้ชนะทั้งในช่วงวิกฤต Covid-19 ที่ผ่านมา และเป็น Megatrend จากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนเข้าสู่ออนไลน์มากขึ้น
โดยยังคงคำแนะนำลงทุน กองทุนเปิด วรรณ ดิสคัพเวอรี่ (ONE-DISC) ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Baillie Gifford Worldwide Discovery Fund เน้นลงทุนในบริษัทที่ยังเติบโตไม่เต็มที่ (Immaturity) หรือสินค้า/บริการ ยังไม่เป็นที่รู้จักมากในตลาดโลก แต่มีแนวโน้มมีความสามารถในการแข่งขัน (Emerging Competitive Advantage) เหนือคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน และอาจจะขึ้นมาเป็นบริษัทขนาดใหญ่ในอนาคต โดยการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง (Structural Change) ดังกล่าวข้างต้นทำให้หุ้นหลายตัวใน ONE-DISC ได้รับประโยชน์จาก Trend นี้ นอกจากนี้เห็นสัญญาณการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนจากหุ้น Mega-Large Cap ที่ราคาขึ้นมาสะท้อนแนวโน้มกำไรหลายปีล่วงหน้า ไปยังหุ้น Mid-Small Cap ที่แนวโน้มเติบโตสูงกว่าแต่ยังไม่สะท้อนในราคาหุ้นล่วงหน้ามากนัก
ระยะสั้นOld Economyจะกลับมา Outperform
สำหรับมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ระยะสั้นมีแนวโน้มที่หุ้น Old Economy จะกลับมา Outperform ซึ่งหุ้นบริษัทจดทะเบียนของไทยมีลักษณะนั้น ช่วงที่ผ่านมาระดับราคาไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก เนื่องจากมุมมองการเติบโตด้อยกว่าหุ้น New Economy ทั้งนี้ หากการเดินหน้าฉีดวัคซีนทั่วโลกประสบผลสำเร็จช่วยให้กลับมาเปิดประเทศได้เร็วขึ้นจากเดิมที่มองปลายปี 2021 อย่างเร็ว อาจจะมีการทำ Travel bubble กันตั้งแต่กลางปีนี้ ช่วยหนุนให้ทุกอย่างเริ่มกลับเป็นปกติ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวมีส่วนช่วยให้กำไรบริษัทจดทะเบียนอาจจะดีกว่าที่คาดไว้
อย่างไรก็ดีในระยะยาวตลาดหุ้นไทยยังคงน่าสนใจในการลงทุน โดยแนะนำให้ผู้ลงทุนควรมีหุ้นไทย Old Economy Theme ติดพอร์ตควบคู่กับการกระจายการลงทุนไปยังหุ้น New Economy เพื่อไม่ให้พลาดผลตอบแทนในบางช่วงเวลารวมถึงช่วยลดความผันผวนพอร์ตการลงทุนจากรูปแบบการลงทุนที่แตกต่างกัน โดยกองทุนแนะนำ อาทิ 1AMSET50 ที่ผลการดำเนินงานในอดีตทำได้ดีสม่ำเสมอเทียบกับดัชนี SET50 หุ้นบริษัทจดทะเบียนพื้นฐานดีขนาดใหญ่ และอีกกองทุน ONE-SETHD เน้นลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ที่มีปันผลสูงบนดัชนี SETHD