3 กองทุนเด่นยิลด์ทะลุ 8 % รับเปิดประเทศครึ่งหลังปี64

495

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า จากสัญญาณบวกมากขึ้นในครึ่งหลังของปี 64 และปี 65 ที่ประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ กลับมาเปิดประเทศ รวมถึงพัฒนาการที่สำคัญที่จะสนับสนุนให้สามารถกลับมาเปิดประเทศได้ประกอบด้วย i) การนำวัคซีนมาใช้ทั่วโลก (มีการฉีดไปแล้ว >246 ล้านโดส) บวกกับเป้าหมายที่จะฉีดวัคซีนให้ได้ 50% ของประชากรไทยภายในสิ้นปีนี้ และ ii) การเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวสามารถใช้ vaccine passports เพื่อเดินทางระหว่างประเทศ

3 กองทุนฟื้น

ส่วนโมเดลใหม่ที่นำมาทดลองใช้ (“Phuket sandbox model”) ยิ่งทำให้คาดว่าจะเห็นแนวโน้มการฟื้นตัวของบางธุรกิจตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีนี้เช่นกัน ดังนั้น ฝ่ายวิจัยจึงเน้นกองทุนที่มีศักยภาพจะฟื้นตัวได้จากประเด็นบวกนี้ ซึ่งได้แก่ i) CPN Retail Growth Leasehold (CPNREIT.BK/CPNREIT TB) และ ii) BTS Rail Mass Transit Growth Infrastructure Fund (BTSGIF.BK/BTSGIF TB) เพราะมีโอกาสจะฟื้นตัวได้จากการที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับเข้ามาในอีกสองสามปีข้างหน้า สำหรับในระยะต่อไป คาดว่าผลประกอบการของ CPNREIT และ BTSGIF จะพลิกฟื้นจากผลกระทบของ COVID-19 ที่กลับมาอีกครั้งในปลายไตรมาส 4/63 ได้เร็วขึ้น (เมื่อเทียบกับตอนที่เกิดการระบาดรอบแรก) โดยมีแรงหนุนจากภาวะธุรกิจที่ดีขึ้น และความกังวลที่ลดลงเกี่ยวกับโรคระบาด

กองทุนจ่ายเงินปันผลหนักๆ

นอกจากนี้ยังชอบกองทุนที่จ่ายเงินปันผลต่อหน่วย (DPU) ในอัตราที่สูง เนื่องจาก i) อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเป็นที่น่าพอใจของผู้ถือหน่วย และ ii) ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มแข็งแกร่ง ซึ่งเมื่อพิจารณาตามเกณฑ์นี้ เราชอบ i) Jasmine Broadband Internet Infrastructure Fund (JASIF.BK/JASIF TB) ii) Hemaraj Leasehold Real Estate Investment Trust (HREIT.BK/HREIT TB) และ iii) Digital Telecommunications Infrastructure Fund (DIF.BK/DIF TB) โดยในปี 63  JASIF จ่าย DPU 1.00 บาท, HREIT จ่าย 0.69 บาท และ DIF จ่าย 1.04 บาท (Figure 5) คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 10.4%, 9.0% และ 8.1% ตามลำดับ เราคิดว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงดูน่าสนใจ และจะช่วยจำกัดความเสี่ยงด้าน downside จากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอาจปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต

www.mitihoon.com