มิติหุ้น – บริษัท เมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ META โดยนาย ศุภศิษฏ์ โภคินจารุรัศมิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยคณะผู้บริหารทัพหน้า จัดงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) ในรูปแบบออนไลน์ เพื่อเผยถึงแผนการดำเนินงานและทิศทางของธุรกิจในปีนี้ โดยปัจจุบัน META ดำเนินธุรกิจที่มีความหลากหลายตามโครงสร้างบริษัท ซึ่งครอบคลุมธุรกิจหลักของบริษัททั้งในส่วนธุรกิจก่อสร้าง พลังงานทางเลือก รวมถึงธุรกิจที่ปรึกษาทางการเงิน
แน่นอนว่าเมื่อกล่าวถึง META ย่อมเป็นที่รู้จักกันในฐานะหนึ่งในผู้ถือหุ้นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบู ณ ประเทศเมียนมา ขนาด 220 เมกะวัตต์ เป็นโครงการโรงไฟฟ้าที่น่าภาคภูมิใจสำหรับเมียนมา และสำหรับผู้ประกอบการไทย ซึ่งเป็นรายแรกที่สามารถผลักดันให้มีการดำเนินงานได้เป็นผลสำเร็จจริง เป็นที่โด่งดังรู้จักไปทั่วโลก
ปัจจุบันตามแผนของบริษัท การก่อสร้างโรงไฟฟ้ามินบูกำลังเดินเข้าสู่เฟส 2-3 แล้ว หลังจากเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เฟส 1 จำนวน 50 เมกะวัตต์ตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน ในระยะนี้ทางบริษัทได้ก่อสร้างพัฒนาโครงการในระยะที่ 2-3 พร้อมกับการบำรุงรักษาในส่วนที่เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าไปแล้วควบคู่กัน ในโครงการนี้เรามีพันธมิตรทั้งบริษัท SCN, ECF, และ PEH
นาย ศุภศิษฏ์ กล่าวว่า “แน่นอนว่าโรงไฟฟ้ามินบูได้รับการชำระค่าไฟจากทางเมียนมาอย่างต่อเนื่อง ตามจำนวนไฟฟ้าที่สามารถผลิตและจำหน่ายได้จริง โดยในส่วนโครงการมินบูปัจจุบัน ผลิตไฟฟ้าได้ตามเป้าหมาย ประมาณ 80% ของกำลังการผลิต”
“ด้านธุรกิจพลังงานอื่นๆเช่น ที่ประเทศญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์ยังคงพัฒนาไปอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยที่ญี่ปุ่นเราทำธุรกิจพลังงานทางเลือก พลังงานชีวมวล ขนาด 100 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าโซล่าร์ที่ฟิลิปปินส์ ซึ่งมีพันธมิตรอย่าง M2DC มาร่วมพัฒนาโครงการด้วย ทั้งสองแห่งดำเนินการไปได้ตามแผนที่วางไว้”
เนื่องด้วยปีที่ผ่านมาทั่วโลกต่างเผชิญกับปัญหาโรคระบาดที่ทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก จึงไม่อยากให้นำผลการดำเนินงานในช่วงปีที่ผ่านมา มาเทียบกับแนวโน้มในปีนี้ ที่กำลังปรับตัวคืนสู่สภาวะปกติ ปัจจุบันบริษัทมี Backlog ในปี 64 มูลค่า 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐ หากสถาณการณ์ทุกด้านเป็นไปตามการคาดการณ์ บริษัทจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาสที่ 2-4 ของปี 64 ต่อเนื่องถึงกลางปี 65 หรือมูลค่าประมาณ 6,000 ล้านบาท แน่นอนว่าจะสร้างให้มีผลกำไรที่น่าพอใจ
“สำหรับกลยุทธ์สำคัญในปีนี้ บริษัทจะเน้นการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่าย ยังไม่มีการลงทุนเพิ่มเติม และให้ความสำคัญกับ backlog ที่เมียนมา ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ยังคงให้ความสนใจการพัฒนาโครงการในประเทศด้วยเช่นเดียวกัน และให้ความสำคัญการบริหารกระแสเงินสดของบริษัทผ่านเครื่องมือทางการเงิน เช่น หุ้นกู้ เป็นต้น ซึ่งในการลงทุนไม่ปิดกั้น แต่มองภาพรวมสถานการณ์โลกและประเทศเป็นหลัก บวกกับสถานการณ์การเงินของบริษัท ไม่อยากให้เกิดวิกฤตการณ์การเงินเพิ่มเติม” นาย ศุภศิษฏ์ กล่าวเพิ่มเติม
www.mitihoon.com