มิติหุ้น-นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ฟื้นตัวหลังโควิด-19 มองภาพระยะยาว หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ตลาดหุ้นจีนและทองคำ ยังมีความน่าสนใจ ขณะที่สินทรัพย์ดิจิทัล ‘บิทคอยน์’ มีพื้นฐานที่ดีรองรับการสร้างจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง โควิดระลอก 3 ปรับพอร์ตขายทำกำไรสินทรัพย์ที่เคยสร้างผลตอบแทนได้ดีในปีที่แล้ว
นาย นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนในไตรมาสสองของปี 2564 สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ยังมั่นใจในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ที่อยู่ในธีม Disruptive อย่างกลุ่ม Ark Invest ในเชิงกราฟเทคนิค เริ่มเห็นการยืนได้ โดยไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่แล้ว สามารถมองเป็นการลงทุนในระยะกลางถึงยาวได้ ส่วนปัจจัยทางด้านพื้นฐาน มองว่าในแต่ละบริษัทเทคโนโลยีนั้นๆ ยังสามารถเติบโตได้หากสถานการณ์ทั่วโลกกลับเข้าสู่ภาวะปกติหลังวิกฤตโควิด-19 จึงเป็นโอกาสในการลงทุน เพราะการปรับฐานลงมาในช่วงนี้เป็นเพียงแค่ทำการจัดสรรเงินลงทุน (Asset Allocation) ใหม่ ของผู้จัดการกองทุน ซึ่งเกิดขึ้นระยะสั้นเท่านั้น แต่ระยะยาวในเชิงพื้นฐานยังสามารถเติบโตได้อีกหลายปี
“ตลาดหุ้นจีน ที่ปรับตัวลดลงในช่วงไตรมาสแรก ยังมองเป็นโอกาสลงทุนที่ดี เพราะเศรษฐกิจจีน ยังมีแนวโน้มเติบโตสูง แต่ที่ถูกเทขาย เพราะเกิดจากการปรับพอร์ต พื้นฐานไม่ได้เปลี่ยน เช่นเดียวกันกับ ทองคำ ที่พื้นฐานไม่ได้เปลี่ยน แค่ถูกกดดันจากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ในระยะยาวยังสามารถลงทุน เพื่อต้านเงินเฟ้อที่จะเกิดขึ้นได้ และในเชิงกราฟเทคนิค ทองคำ สามารถยืนเหนือ จุด Double Bottom ที่ระดับต่ำกว่า 1,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ ได้แล้ว เป็นสัญญาณว่าพอที่จะทยอยเข้าสะสมได้โดยหวังผลระยะยาว”
ด้านราคาน้ำมัน แนวโน้มระยะยาว ยังเป็นขาขึ้นจากการที่ดีมานด์เริ่มกลับเข้ามา หลังมีความหวังในเรื่องของการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 รวมถึงฝั่งซัพพลายที่มีผู้เล่นในตลาดบางส่วนหายไปจากสภาวะ Oil Shock ในปีที่ผ่านมา แต่อาจจะไม่ได้ปรับตัวขึ้นอย่างหวือหวา เพราะราคาน่าจะซึมซับข่าวดีไปหมดแล้ว ยกเว้นแต่จะเกิดปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศขึ้น ก็อาจจะเป็นแรงผลักดันราคาน้ำมันให้ปรับตัวขึ้นร้อนแรงได้
ขณะที่ บิทคอยน์ ยังคงเป็นขาขึ้นในภาพระยะยาว สิ่งที่ตลาดกำลังจับตา คือจะมีบริษัทยักษ์ใหญ่ หรือ สถาบันการเงิน ออกมาให้การยอมรับมากขึ้น หรือไม่ รวมถึงธนาคารกลางของประเทศขนาดเล็ก หากเริ่มนำ บิทคอยน์ มาเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ ก็จะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่หนุนพื้นฐานของบิทคอยน์ให้ได้รับการยอมรับมากขึ้น แม้ด้านราคาจะมีการพักฐานเป็นระยะแต่จะมีแรงซื้อกลับเข้ามาเสมอ
สำหรับสินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงที่สุดในไตรมาสแรกของปี 2564 นี้ คือ สินทรัพย์ดิจิทัล อย่าง ‘บิทคอยน์’ ซึ่งให้ผลตอบแทนถึง 100% ตามมาด้วย น้ำมันดิบเบรนท์ ซึ่งสร้างผลตอบแทน 24.3% รองลงมา คือ ตลาดหุ้นยุโรป STOXX50 ที่ 8.9%
ขณะที่ตลาดหุ้นหลักของโลก ดัชนี Dow Jones สร้างผลตอบแทนได้ 8.7%, ดัชนี S&P500 สร้างผลตอบแทนได้ 6.2% ส่วนดัชนี NASDAQ สามารถสร้างผลตอบแทนได้เพียง 0.45% เนื่องจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ที่เคยปรับตัวขึ้นร้อนแรงในปีที่ผ่านมา ถูกเทขายเพื่อทำกำไร ไม่ว่าจะเป็น ETF ในกลุ่ม Ark Invest หรือ หุ้นรถยนต์ไฟฟ้า อย่าง TESLA ทางด้านตลาดหุ้นฝั่งเอเชีย อาทิ จีน ฮ่องกง เวียดนาม ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ที่เคยสร้างผลตอบแทนดีในปีที่แล้ว ก็ถูกเทขายเช่นกัน โดยเม็ดเงินเริ่มไหลกลับไปลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ที่ไม่ใช่กลุ่มเทคโนโลยี
จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยดัชนี Dollar Index ปรับตัวขึ้น 3.7% รวมถึงผลตอบแทนพันธบัตรอายุสิบปีของรัฐบาลสหรัฐฯ หรือ Bond Yield ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วกดดันให้ราคาสินทรัพย์อื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์ของราคาตรงข้ามถูกเทขายอย่างหนัก โดยเฉพาะทองคำ ที่ติดลบกว่า 10%
“ภาพรวมในไตรมาสแรกจะเห็นได้ว่ามีการทำ Asset Allocation ใหม่ ของผู้จัดการกองทุนทั่วโลก เทขายสินทรัพย์ที่เคยสร้างผลตอบแทนดีในปีที่แล้ว ทั้ง หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และโยกมาลงทุนในธีมสินทรัพย์ที่จะฟื้นตัวจากไวรัสโควิด-19 เห็นได้จากดัชนี Dow Jones ซึ่งหุ้นกลุ่มที่ไม่ใช่เทคโนโลยีลิสต์ สามารถปรับตัวขึ้นได้ดี ทั้งนี้ เพราะนักลงทุนสถาบันต้องมองภาพของเศรษฐกิจในอนาคต 6 เดือนข้างหน้าให้ออก โดยเฉพาะการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ที่มีความชัดเจน และวัคซีนสามารถกระจายทั่วถึงทั้งโลก ภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมจึงมองเห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น”
www.mitihoon.com