จากกรณีที่ รัฐบาลกำลังแก้กฎหมาย เปิดทางนักลงทุนต่างชาติซื้ออสังหาฯ คือคอนโดฯ-บ้านแนวราบ หวังดึงเม็ดเงินต่างประเทศช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด ปลดล็อกต่างชาติซื้อ “บ้านจัดสรร” ระดับราคา 10-15 ล้านบาทขึ้นไปได้ จากเดิมไม่ได้พร้อมขยายเพดานซื้อ “คอนโดฯ” เป็น 70-80% จากเดิมจำกัดแค่ 49% แต่ส่วนเกิน 49% ไม่มีสิทธิโหวตประชุม จากการสัมภาษณ์“นิติบุคคลอาคารชุด” เผยจะมีการออก“พ.ร.ก.” ให้สิทธิพิเศษซื้อภายใน 3-5 ปี เตรียมเสนอเข้าที่ประชุม ศบศ.ปลาย เม.ย.นี้
ด้านบทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า แนวทางดังกล่าวถือเป็น Sentiment เชิงบวกต่อกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย เนื่องจากหากเกิดขึ้นจริงย่อมดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยในไทยมากขึ้น โดยประเด็นที่น่าสนใจ คือ การให้ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรรได้ในราคา 10-15 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่ และน่าจะได้การตอบรับที่ดีหากสามารถปฏิบัติได้จริง โดยส่วนนี้ย่อมส่งผลบวกต่อกลุ่มผู้ประกอบการที่มีพอร์ตแนวราบเป็นหลัก และเน้นตลาดกลางบน-บน ได้แก่ LH และ SC
ขณะที่การเสนอขยายเพดานซื้อคอนโดฯ ของต่างชาติ จากเดิม 49% เป็น 70-80% ถือเป็นการเปิดช่องทางในการขาย/ระบายสต็อกในโครงการเดิมที่มีของผู้ประกอบการได้มากขึ้น โดยผลบวกย่อมส่งต่อไปยังกลุ่มผู้ประกอบการที่มีพอร์ตคอนโดฯ เช่น RML, NOBLE, ANAN, ORI, SPALI, AP, LPN และ SENA เป็นต้น
ORI เด่นสุดปันผลสุดปัง
อย่างไรก็ดีในทางปฏิบัติจริง คงต้องติดตามต่อไป เนื่องจากข้อเสนอทั้งหมดนี้ต้องนำไปสู่การแก้ไขกฎหมาย ซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลาในการพิจารณากว่าจะสามารถนำมาบังคับใช้จริงได้ รวมถึงบางประเด็นคงต้องมีการกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติม อาทิเช่น การให้สัดส่วนต่างชาติซื้อคอนโดฯ ได้เกิน 49% อาจต้องมีการจำกัดให้สัดส่วนที่ถือกรรมสิทธิ์ส่วนที่เกิน 49% ขึ้นไป จะไม่มีสิทธิในการออกเสียง (โหวต) ในการประชุมนิติบุคคลอาคารชุด เพื่อไม่ให้ต่างชาติเข้ามาครอบครองและกำหนดระเบียบที่จำกัดสิทธิของคนไทย เป็นต้น
โดยสรุปเชื่อว่าความน่าสนใจของประเด็นดังกล่าว จะช่วยขับเคลื่อนต่อราคาหุ้นกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยเลือกหุ้นที่ได้ประโยชน์ และพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง พร้อมปันผลสูง ได้แก่ LH (FV@B9.65), SPALI (FV@B25.50) และเก็งกำไร ORI (FV@B8.35)
SCครองตลาดแนวราบ 10-20ลบ.
ขณะที่บทวิเคราะห์ บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ประเมินว่า SC จะได้ประโยชน์สูงจากมาตรการกระตุ้นภาครัฐ หากมาตรการข้างต้นนี้ได้มีการดำเนินการออกมาจริงสืบเนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีส่วนครองตลาดสูงสุดในบ้านแนวราบราคา 10-20 ล้านบาทในปี 63 ที่16% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี62 ที่ 9% (ข้อมูลจาก SC, AREA) และตามแผนงานแล้ว ในปี 64 นี้ บริษัทจะมีโครงการทั้งสิ้น 69 โครงการ ที่มูลค่าขาย57.5 พันล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 64% หรือ 36.9 พันล้านบาท และคอนโด 36% หรือ 20.6 พันล้านบาท ทั้งนี้ในโครงการบ้านแนวราบ จะมีระดับราคา 10-20 ล้านบาทมากถึง 16 โครงการ และคิดเป็น 39% จากมูลค่าทั้งหมด และ ณสิ้นปี 63 มีสต็อกคอนโดที่สร้างเสร็จแล้วพร้อมขาย-โอนที่มูลค่า 6.7 พันล้านบาท
www.mitihoon.com