มิติหุ้น-L&E เชื่อรายได้ทั้งปี 2564 โตกว่าปีก่อน คาดในช่วงครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นหลังมีการฉีดวัคซีนปัจจุบันตุนงานในมือกว่า 1,200 ล้านบาท ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 บริษัทฯ มีการเกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ดังเดิม ที่คาดว่าจะเติบโต 15-25% เนื่องจากเชื่อครึ่งปีหลังสถานการณ์จะฟื้นตัว ซึ่งขณะนี้มองว่ายังเร็วเกินไปที่จะพิจารณาปรับเป้าหมายรายได้ใหม่ ล่าสุดประกาศผลงานไตรมาส 1/64 มีรายได้จากการขายและให้บริการ 555 ล้านบาท ขาดทุนสำหรับงวด 2.8 ล้านบาท ผลจากรายได้จากการขายและให้บริการของงานโครงการ และงานขายส่ง/ขายปลีกลดลง จากงานโครงการเลื่อนส่งมอบไปในไตรมาส 2 และ ไตรมาส 3 ปีนี้ ขณะที่งานขายต่างประเทศเพิ่มขึ้นถึง 707%
นายอนันต์ กิตติวิทยากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ L&E ผู้นำธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายโคมไฟฟ้ารวมทั้งอุปกรณ์แสงสว่างรายใหญ่ของประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยถึง แนวโน้มธุรกิจในปี 2564 ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ขณะนี้บริษัทฯ มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เชื่อว่ารายได้ปีนี้จะโตกว่าปีที่ผ่านมา จากการรับรู้รายได้ของงานในมือ ปัจจุบันมีอยู่ที่ 1,200 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานที่เลื่อนมาจากปี 2563 และคาดจะรับรู้ทั้งหมดในปีนี้ ขณะเดียวกันงานโครงการขนาดใหญ่ ยังดำเนินการต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนรายได้เติบโต แต่ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะพิจารณาปรับเป้าหมายรายได้จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 15-25% บริษัทฯ ขอประเมินสถานการณ์ในช่วงครึ่งปีแรกก่อน
โดยการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 2564 ยังคงโมเดลธุรกิจ “Total Lighting Solution Provider” เพื่อสร้างความมั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับบริการที่ดีที่สุดและสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้เป็นอย่างดี ภายใต้กระแสเศรษฐกิจดิจิทัลที่เรากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ บริษัทฯ จะยังคงให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับ IoT ซึ่งบริษัทฯ ได้พัฒนาจนกล่าวได้ว่าอยู่ในขั้นแนวหน้าของประเทศ มีผลงานในด้านนี้จำนวนมาก เช่น สมาร์ทซิตี้ ที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี โคมไฟถนนอัจฉริยะที่วังจันทร์ วัลเลย์ จังหวัดระยอง และโคมไฟฟ้าโซล่าร์อัจฉริยะรอบสนามบินจำนวน 22 แห่ง ของกรมท่าอากาศยาน เป็นต้น และมีแนวโน้มว่าธุรกิจด้านนี้กำลังเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1/2564 มีรายได้จากการขายและให้บริการ 555 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 13 ล้านบาท หรือลดลง 2% เป็นผลจากรายได้จากการขายและให้บริการของงานโครงการลดลง 87 ล้านบาท หรือลดลง 22% และงานขายส่ง/ขายปลีกลดลง 25 ล้านบาท หรือลดลง 15% ส่วนงานขายต่างประเทศนั้น เพิ่มขึ้น 99 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 707% การลดลงของรายได้จากงานโครงการ และงานขายส่ง/ขายปลีก เป็นผลจากธุรกิจต่าง ๆ ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ชะลอการลงทุนและซื้อสินค้าจากบริษัทฯ ลดลง รวมทั้งราคาต่อหน่วยของสินค้าบางรายการต้องปรับตัวลดลงเพราะการแข่งขันที่เข้มข้น ส่งผลให้รายได้จากการขายที่ปริมาณสินค้าจำนวนเท่ากันมีมูลค่าลดลง นอกจากนี้ยังมีงานโครงการหลายงานต้องเลื่อนการส่งมอบงานไปในไตรมาสถัดไป ส่วนงานขายต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากบริษัทฯ ได้เริ่มขายสินค้าไปให้ลูกค้าปลายทางที่ประเทศสหรัฐอเมริกา มูลค่า 94 ล้านบาท ในไตรมาสนี้
ส่งผลให้บริษัทฯ ขาดทุนสำหรับงวด 2.8 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนหน้าที่มีกำไร 8.8 ล้านบาท เป็นผลจากกำไรขั้นต้นจากการขายรวมรายได้อื่นลดลง 35.8 ล้านบาท ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง 19.5 ล้านบาท และมีเครดิตภาษีเงินได้นิติบุคคลสุทธิจำนวน 4.7 ล้านบาทค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 161.6 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 17.3 ล้านบาท หรือลดลง 10% สาเหตุใหญ่มาจากค่าใช้จ่ายที่แปรผันตามผลการดำเนินงานได้ปรับตัวลดลง และค่าใช้จ่ายที่ปรับตัวลดลงเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่น ค่าใช้จ่ายในการเดินทางและส่งเสริมการขาย เป็นต้น
“ผลประกอบการไตรมาสแรกที่ผ่านมา แม้บริษัทฯ ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายของการแพร่ระบาดระลอกใหม่หรือครั้งที่สองของโควิด-19 เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 1 ของปีก่อนหน้า ที่ผลประกอบการยังไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในรอบแรก แต่คาดว่าแนวโน้มธุรกิจจะเร่งฟื้นตัวอย่างชัดเจนในครึ่งปีหลังของปี 2564 เป็นต้นไป ในทิศทางเดียวกับการฟื้นตัวของภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศที่เริ่มเดินหน้าและขยายตัว หลังวัคซีนเข้ามาคลายกังวล และภาพ
รวมงานโครงการต่างๆ มีแนวโน้มเชิงบวก และเร่งส่งมอบงานให้แล้วเสร็จ แต่ในปีนี้ผลกระทบจากโควิด-19 ระลอก 2 รายได้ครึ่งปีแรกจะชะลอตัวจากที่คาดการณ์ไว้ ส่วนการแพร่ระบาดระลอกที่ 3 นี้ บริษัทฯ เฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และจะมีการประเมินภาพที่ชัดเจนในช่วงกลางปีนี้อีกครั้ง” นายอนันต์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ คาดว่าในครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นหลังจากที่วัคซีนเข้ามาแล้วและมีการฉีดได้ครอบคลุมมากขึ้น รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่คาดว่าจะออกมาในช่วงครึ่งปีหลัง หากสถานการณ์ไม่เลวร้ายลง เชื่อว่าความเชื่อมั่นจะกลับมา
www.mitihoon.com