MTC พอร์ตสินเชื่อQ2โตติดสปีด ดีมานด์ลูกค้ากลุ่มเกษตรพุ่ง (17/05/64)

382

มิติหุ้น – MTC ติดสปีดพอร์ตสินเชื่อโตแรง สัญญาณ Q2/64 เร่งตัวชัด รายได้ดอกเบี้ย-ค่าธรมมเนียมเดินหน้าบวก โบรกชี้ความต้องการใช้สินเชื่อกลุ่มลูกค้าหลักซึ่งเป็นกลุ่มการเกษตรยังล้นทะลัก และได้รับ

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.เมืองไทย แคปปิตอล หรือ MTC ดำเนินธุรกิจหลักโดยการให้สินเชื่อทะเบียนรถ สินเชื่อโฉนดที่ดิน สินเชื่อส่วนบุคคลโดยไม่มีหลักประกัน และสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับรวมถึง การให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อและนายหน้าประกันภัย ภายหลังแจ้งผลการดำเนินงาน ไตรมาส 1/64 เป็นกำไรสุทธิ 1,373.65 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้นที่ 0.65 บาท

ลูกค้าหลักยังต้องการใช้สินเชื่อสูง

โดย บล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ฝ่ายวิจัยมองแนวโน้มไตรมาส 2/64 ผลการดำเนินงานยังเป็นบวกต่อเนื่อง จากการคาดหมายของบริษัทต่อการเติบโตของเงินให้สินเชื่อถึง 20-25% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งได้ปัจจัยหนุนจากสภาพอากาศที่ฝนตกได้ดีหนุนความต้องการใช้เงินในการทำเกษตร ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท ทั้งนี้แนวโน้ม C/I Ratio ที่จะทรงตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 1/64 ที่ 44.3% ยังเป็นปัจจัยบวกต่อผลประกอบการ

แนวโน้มต้นทุนลดฮวบ

ทั้งนี้แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อมีแนวโน้มปรับตัวลงต่อเนื่อง รวมไปถึงการแข่งขันด้านราคาในตลาดจำนำทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์เป็นปัจจัยกดดันต่อผลประกอบการ แต่ปัจจัยดังกล่าวถูกลดทอนจากพอร์ตสินเชื่อที่เติบโตโดดเด่น และแนวโน้มการลดลงของต้นทุนทางการเงิน (Cost of Fund: COF) ของบริษัท เนื่องจากหุ้นกู้และเงินกู้จากธนาคารที่จะครบกำหนดในปี 64

คุณภาพสินทรัพย์ยังแข็งแรง

ปัจจุบัน NPL Ratio อยู่ที่ 0.98% จากในไตรมาส 4/63 และไตรมาส 1/63 ที่ 1.06% และ 1.18% ตามลำดับ ทั้งนี้ทางผู้บริหาร MTC มองว่าการแพร่ระบาดของ Covid-19 ระลอกที่ 3 สร้างผลกระทบค่อนข้างน้อยต่อกลุ่มลูกค้าของบริษัท เนื่องจากเป็นกลุ่มการเกษตร โดยบริษัทคาดหมายคง NPL Ratio ในปี 64 ที่ระดับปัจจุบัน

Q1/64พอร์ตโต-รายได้พีคทุกทาง

MTC รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/64 ที่ 1,374 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.3% จากไตรมาสก่อนหน้า และ 11.0% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ปัจจัยบวกมาจาก (1) พอร์ตสินเชื่อที่เติบโต 17.6% ทำให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 7.2% แม้มีปัจจัยกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง (2) รายได้ค่าธรรมเนียมปรับตัวเพิ่มขึ้น 38.6% จากการเพิ่มอัตราการคิดค่าธรรมเนียมติดตามทวงถาม และ (3) C/I Ratio ที่ลดลง หลังรายได้เพิ่มขึ้น

เคาะราคาเหมาะสม 77.25 บาท แนะนำ “ซื้อ”

ฝ่ายวิจัยคงราคาเหมาะสมไว้ที่ 77.25 บาทต่อหุ้น อ้างอิง PBV ที่ 6.4x (GGM ที่ ROE ที่ 26%) โดยในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องราว 18.7% (QTD) ส่งผลให้ Upside อยู่ที่ 34.3% เป็นโอกาสในการเข้าสะสม จึงแนะนำ “ซื้อ” โดยมีปัจจัยหนุนจากการที่บริษัทยังคงเดินหน้ารุกขยายสาขาต่อเนื่อง โดยคาดในปี 2564 นี้ จะมีจำนวน 5,500 สาขา

www.mitihoon.com