บมจ.ซีลิค คอร์พ หรือ SELIC รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2564 กำไรสุทธิแตะ 30.05 ลบ. เพิ่มขึ้น 31.4% จากไตรมาสก่อน ทุบสถิติใหม่สูงสุดในรอบไตรมาส สะท้อนความสามารถเติบโตของบริษัทที่แข็งแกร่ง เหตุเจาะกลยุทธ์มุ่งทำตลาดอุตสาหกรรมเติบโต ด้านผู้บริหาร “เอก สุวัฒนพิมพ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ ”ยุวดี เอี่ยมสนธิทรัพย์” กรรมการผู้จัดการ เผยไตรมาสนี้โกยรายได้ 361.71 ลบ. เพิ่มขึ้น 12% หลังรายได้จากธุรกิจกาวอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 124.6% และรายได้จากธุรกิจสติ๊กเกอร์หรือฉลากที่มีกาวในตัวเพิ่มขึ้น 14.8%
นายเอก สุวัฒนพิมพ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) หรือ SELIC เปิดเผยว่า บริษัทฯ รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2564 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 30.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.4% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 33.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยถือเป็นการทำกำไรรายไตรมาสได้สูงสุดในการดำเนินการของบริษัท และเป็นการเติบโตภายใต้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 สะท้อนว่าบริษัทฯ มีการปรับตัวทันกับสถานการณ์ สอดคล้องกับการเติบโตของรายได้
ในไตรมาสนี้บริษัทฯ มีรายได้อยู่ที่ 361.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 9.7% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน สาเหตุหลักที่สนับสนุนให้รายได้เติบโตมาจากการดำเนินการธุรกิจสองประเภท คือ 1. รายได้จากธุรกิจกาวอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 124.6% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 83.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 2. รายได้จากธุรกิจสติ๊กเกอร์หรือฉลากที่มีกาวในตัวเพิ่มขึ้น 14.8% จากไตรมาสก่อน และ 10.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งในไตรมาสนี้บริษัทมีรายได้จากธุรกิจกาวอุตสาหกรรมสัดส่วน 44% และรายได้จากธุรกิจสติ๊กเกอร์ 56%
“ซีลิคมีความมุ่งมั่นในการเติบโตอย่างยั่งยืนท่ามกลางสถานการณ์ท้าทายจากภายนอก โดยในไตรมาส 1/2564 ซีลิคมีการเติบโตเพิ่มขึ้นทั้งรายได้และกำไร ซึ่งเป็นผลจากการใช้กลยุทธ์ในการเจาะและมุ่งทำตลาดอุตสาหกรรมที่มีการเติบโต ผ่านการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า เพื่อสร้างการเติบโตไปด้วยกัน สำหรับด้านผลกำไรในไตรมาสนี้ถือเป็นผลกำไรในรอบไตรมาสที่สูงที่สุดในการดำเนินการมา จากผลการดำเนินการในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเติบโตของซีลิค” นายเอก กล่าว
นางสาวยุวดี เอี่ยมสนธิทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2564 จะเห็นถึงการเติบโตของตัวเลขงบการเงิน โดย EBITDA ในไตรมาสนี้ทำได้เท่ากับ 57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.7% จากไตรมาสก่อน และจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ 15.3% โดยคิดเป็น EBITDA margin เท่ากับ 15.8% เพิ่มขึ้นจาก EBITDA margin ในไตรมาสก่อน และในปีก่อนที่ 15.0%
สำหรับธุรกิจกาวอุตสาหกรรมมีรายได้รวมอยู่ที่ 389.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 124.6% และจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 83.1% โดยมีรายได้ที่มาจากเงินปันผลจากบริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลล์ จำกัด เข้ามารวมอยู่ด้วย อย่างไรก็ตาม หากพิจารณารายได้จากการขายยังคงมีการเติบโต โดยรายได้ขายในไตรมาสนี้อยู่ที่ 177.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.0% จากไตรมาสก่อน และ 13.8% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการเพิ่มขึ้นของยอดขายในธุรกิจกาวอุตสาหกรรมในไตรมาสนี้มาจากการเติบโตของกาวทั้งสามเทคโนโลยี โดยการเปรียบเทียบยอดขายระหว่างไตรมาสจะพบว่าผลิตภัณฑ์กาว Hot Melt เพิ่มขึ้น 9.2% ผลิตภัณฑ์กาวน้ำเพิ่มขึ้น 6.9% และผลิตภัณฑ์กาว Solvent เพิ่มขึ้น 5.9% โดยสัดส่วนการขายแยกตามกลุ่มสินค้าในไตรมาสนี้ ผลิตภัณฑ์กาว Hot Melt มีสัดส่วนสูงสุดที่ 42% ตามด้วย ผลิตภัณฑ์กาว Solvent 36% และผลิตภัณฑ์กาวน้ำ 20%
ส่วนธุรกิจสติ๊กเกอร์หรือฉลากที่มีกาวในตัวมีรายได้รวมอยู่ที่ 210.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.8% จากไตรมาสก่อน และ 10.1% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้จากการขายเท่ากับ 204.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.0% จากไตรมาสก่อน และ 11.6% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์กระดาษมีสัดส่วนการขายสูงสุด