“SA ปลื้ม! ติดโผดัชนี FTSE Micro Cap นักลงทุนต่างชาติต่อแถวขอข้อมูลเพียบ”

173

มิติหุ้น – บมจ.ไซมิส แอสเสท (SA) ปลื้มได้รับคัดเลือกเข้าคำนวณดัชนีอ้างอิงระดับสากล FTSE SET Index กลุ่ม Micro Cap จากการคัดเลือกโดยองค์กรระดับโลกอย่าง FTSE Russell ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 18 มิ.ย. 64 นี้ ฟาก “ขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ” ซีอีโอระบุช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนยิ่งขึ้นและทำให้ SA ไปอยู่ในโฟกัสของต่างชาติ  ส่วนแผนธุรกิจปีนี้พร้อมเดินหน้าเต็มกำลังมุ่งสร้างการเติบโตเป็นประวัติการณ์ ตั้งเป้ากวาดรายได้ปีนี้กว่า 4,800 ล้านบาท ลุยเปิดตัวโครงการใหม่อีก 4 โครงการ มูลค่าประมาณ 11,350 ล้านบาท เผยตุน Backlog หนา 6,400 ล้านบาท คาดรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 2,300 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในอีก 3 ปี

มีรายงานข่าวว่า บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA ได้รับการคัดเลือกเข้าคำนวณดัชนีระดับสากล FTSE SET Index จากดัชนีฟุตซี่ (FTSE Russell) ซึ่งร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีการประกาศผลการทบทวนรายชื่อหลักทรัพย์ชุดใหม่ที่จะใช้ในการคำนวณ ซึ่ง SA จัดอยู่ในกลุ่ม FTSE Micro Cap มีผลบังคับใช้หลังราคาปิดของวันที่ 18 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป

ทั้งนี้เกณฑ์การคำนวณ และคัดเลือกหลักทรัพย์ที่จะถูกคำนวณรวมในดัชนี FTSE SET จะต้องผ่านเกณฑ์สภาพคล่อง คือมีค่ามัธยฐาน (median) ของจำนวนหุ้นที่มีการซื้อขายรายวันในแต่ละเดือนต้องไม่ต่ำกว่า 0.05% ของจำนวนหุ้นที่ซื้อขายได้ เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 10 ใน 12 เดือนก่อนวันที่พิจารณาทบทวนรายชื่อดัชนีในแต่ละรอบ และจะต้องผ่านเกณฑ์การกระจายหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นรายย่อยมากกว่า 15% ขึ้นไป

นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไซมิส แอสเสท ให้ความเห็นว่าการที่หุ้น SA ได้เข้าคำนวณใน FTSE Micro Cap ครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุน และคาดว่าจะทำให้มีโอกาสเป็นที่รู้จักของกลุ่มนักลงทุนในระดับสากลมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังชี้ให้เห็นว่าเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องที่ดีอีกด้วย ขณะเดียวกันมีนักลงทุนสถาบันต่างประเทศให้ความสนใจติดต่อขอข้อมูล เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจก่อนเข้ามาลงทุน

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SA กล่าวอีกว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตเป็นประวัติการณ์ พร้อมทั้งคงเป้าหมายรายได้ของปี 2564 อยู่ที่ 4,800 ล้านบาท จากการทยอยรับรู้รายได้จากยอดขายอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก ขณะเดียวกันมีแผนกระจายความเสี่ยงการลงทุน โดยวางแผนธุรกิจแบบผสมผสานให้มีความยืดหยุ่น เพื่อขยายฐานรายได้ประจำ (Recurring Income)  ทั้งในรูปแบบอสังหาฯ เพื่อเช่า และบริการห้องพักแบบโรงแรม ขณะเดียวกันได้พัฒนาโครงการในรูปแบบ Branded Residence เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้พักอาศัย ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าประเภทซื้ออยู่จริง และนักลงทุน

นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ภายในปีนี้ อีกจำนวน 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 11,350 ล้านบาท ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียมจำนวน 2 โครงการ คือ โครงการ Landmark @ Grand Station บริเวณรามอินทรา มูลค่าโครงการ 4,000 ลบ และโครงการ คอนโดนิเมียม Blossom Condo @ Thung Song Hong ติดรถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีทุ่งสองห้อง  มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ลบ และในปีนี้ทางบริษัทมีแผนเปิดโครงการหมู่บ้านแนวราบ ระดับบน อีก 2 โครงการ บริเวณ ถนนพระเทพตัดใหม่ เขตฝั่งธนบุรี มูลค่ารวมทั้ง 2 โครงการ รวมอีกประมาณ 5,350 ลบ ซึ่ง ณ ปัจจุบัน บริษัทฯ มียอดขายรอโอน (Backlog) กว่า 6,400 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 2,300 ล้านบาท (36%)  ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วงอีก 3 ปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้บริษัทฯ เล็งเห็นถึงมุมมองของการขายอสังหาริมทรัพย์ผ่านช่องทางที่หลากหลายมากขึ้น  ซึ่งบริษัทฯ อยู่ระหว่างการพัฒนาโปรเจกต์ดังกล่าว คาดว่าจะสามารถเห็นความชัดเจนได้ภายในเร็วๆ นี้ ทั้งนี้มั่นใจว่าจะเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงโครงการได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

www.mitihoon.com