มิติหุ้น – สัปดาห์นี้เชื่อปัจจัยสำคัญที่ตลาดจะให้ความสำคัญคือการประชุม FED ในวันที่ 15-16 ทราบผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 17 ช่วงเช้าเวลาประเทศไทย สาเหตุที่การประชุมครั้งนี้สำคัญเนื่องจากเป็นการประชุมที่จะมีถ้อยแถลงการประชุม , ตัวเลขเศรษฐกิจ , เส้นทางดอกเบี้ยในระยะถัดไป รวมไปถึงวงเงิน QE ทั้งนี้เรายังเชื่อว่าการประชุมครั้งนี้ FED จะยังดำเนินมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไป (คงดอกเบี้ยและวงเงิน QE) เนื่องจาก (1) ภาคแรงงานสหรัฐที่ยังไม่กลับสู่ระดับปกติ หากอิงตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐ พบว่าช่วงเกิด COVID-19 (มี.ค. เม.ย. 20) หายไปรวมกัน 22.3 ล้านตำแหน่งแต่ปัจจุบันกลับมาเพียง 14.7 ล้านตำแหน่งเท่ากับว่าสหรัฐยังต้องการการจ้างงานเพิ่มขึ้นอีก 7.6 ล้านตำแหน่งเพื่อให้กลับไปเท่าก่อนเกิด COVID-19 สอดคล้องกับอัตราการว่างงานปัจจุบันอยู่ที่ 5.8% เทียบก่อนเกิด COVID-19 ที่ 3.5% (2) เงินเฟ้อสหรัฐ (CPI) ที่เร่งแรงในช่วง 2 เดือนก่อนหน้ามาจากราคาพลังงานเป็นหลักหากมองราคาน้ำมัน (WTI) เดือน พ.ค. 19 อยู่ 20 $ / BBL เทียบกับ พ.ค. 20 ที่ 66 $ / BBL (+230%YoY) ขณะที่หากพิจารณาสิ่งที่ตลาดมองจะพบว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐทำ New Low ในรอบ 3 เดือนพร้อมกับความคาดหวังเงินเฟ้อ 5 ปีจากนี้ที่กลับสู่แนวโน้มขาลง สะท้อนถึงการที่ตลาดมองว่าการเร่งของเงินเฟ้อเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราวและไม่น่าทำให้ FED ถึงกับต้องรีบใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวด อย่างไรก็ตามหากผิดไปจากคาดกล่าวคือ FED ส่งสัญญาณถึงการใช้นโยบายเข้มงวดเชื่อผลกระทบต่อ SET ไม่สูงมากนักเนื่องจาก (1) ย้อนหลัง 6 ปีนักลงทุนต่างชาติมีสถานะขายสุทธิสูงถึง 7.5 แสนล้านบาทนับเป็นระดับที่ต่ำสุดในประวัติการณ์ จึงเชื่อว่าปัจจุบันสถานะการถือครองหุ้นไทยของต่างชาติค่อนข้างต่ำแล้ว (2) ปัจจุบัน SET ถูกขับเคลื่อนจากนักลงทุนในประเทศมากกว่าสะท้อนจาก YTD สถานะซื้อสุทธิเป็นนักลงทุนรายย่อยราว 9.4 หมื่นล้านบาท (3) SET อยู่ในช่วงรับปัจจัยบวกจากการค่อยๆกระจาย Vaccine (4) Valuation ไม่แพง หากอิงกำไรปี 22 เพื่อสะท้อนการฟื้นตัวใกล้เคียงระดับปกติ SET จะซื้อขายเพียง 17.2x อยู่ในช่วง AVG ถึง +1SD ในรอบ 5 ปีย้อนหลัง
ส่วนปัจจัยในประเทศเราเชื่อว่าปัจจุบันตลาดกำลังมองไปยังข้างหน้าสู่การฟื้นตัวแบบปกติ สะท้อนจากราคาหุ้นหลายตัวรวมถึง SET กลับมาสูงก่อนเกิด COVID-19 แม้ในวันศุกร์ ศบค. จะรายงานปริมาณฉีด Vaccine เพียง 2.23 แสนโดสแต่ตลาดก็มิได้ตอบรับเชิงลบใดๆ ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนที่เราแนะนำคือเน้นกลุ่ม Domestic ที่ได้ประโยชน์จาก Vaccine แต่ราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นน้อยหรือยังไม่กลับไปเท่าก่อน COVID-19 ได้แก่ (ADVANC AWC BTS BJC CPALL CRC CPN KBANK LH PLANB VGI WHA)
PLANB (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 7.7 บาท) คาดรายได้สื่อของจะปรับตัวลดลงไปที่จุดต่ำสุดใน 2Q21 ก่อนจะมีการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งของปี 2021 หนุนจากการใช้จ่ายค่าโฆษณาของภาคเอกชนที่กลับมาอีกครั้งหลังการคลายล็อคดาวน์ และ การเริ่มรับรู้รายได้จากป้ายสื่อโฆษณาที่ติดตั้งใหม่ในช่วงปลายปีที่แล้ว ทั้งในส่วนที่อยู่ใน 7-eleven และ สื่อที่รอรถเมล์ใน กทม.
CPN (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 59 บาท) มองราคาหุ้นล่าสุดยังค่อนข้าง Laggard โดยมี Upside เทียบกับก่อนเกิด COVID-19 ราว 11% ขณะเดียวกันแม้จะมีการแพร่ระบาดแต่บริษัทยังคงหาโอกาสเติบโตต่อเนื่องด้วยการประกาศเปิดศูนย์การค้าใหม่อีก 4 แห่งภายใน 5 ปีจากนี้
www.mitihoon.com