TU อาณาจักรแสนล้าน ที่ไม่หยุดแค่เบอร์ 1

1577

เปิดอาณาจักรผู้นำธุรกิจของไทยที่ยิ่งใหญ่บนเวทีระดับโลกในกลุ่มอาหารทะเล เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่นึกถึง บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ซึ่งโครงสร้างธุรกิจหลัก 3 ธุรกิจ 1. กลุ่มอาหารทะเลแปรรูป 2.กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็น และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และ 3.ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม ในปีที่ผ่านมามีรายได้เกินกว่า 1.3 แสนล้านบาท กำไรกว่า 6 พันล้านบาท ต่อปี และยังเป็นเบอร์ 1 ในธุรกิจทูน่าส่งออกของโลก ด้วยกำลังการผลิตรวมทุกสายการผลิตที่ 8.2 แสนตัน/ปี  กับ 15 แบรนด์สินค้า ฐานการผลิต 14 แห่ง สำนักงานอีก 10 แห่ง และทั้งหมดนี้ตั้งอยู่ใน 16 ประเทศทั่วโลก

TU ไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ ยังมีแผนการเติบโตภายใต้ยุทธศาสตร์ 5 ปี (ปี2568) กับเป้าหมายรายได้ทะลุ 1.6 แสนล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ย 3-5 % ต่อปี โดยจะเน้นให้ความสำคัญกับกำไรพร้อมกับการบริหารต้นทุน มีการรุกขยายธุรกิจใหม่ๆ ในเรื่องเทคโนโลยี การใช้นวัตกรรมมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อาทิ กลุ่มฟังก์ชันนอลฟู้ด อินกรีเดียนท์ โปรตีนทางเลือก ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม รวมถึง เมดิคอลฟู้ด เป็นต้น คาดว่าจะมีรายได้มาจากนวัตกรรมสัดส่วน 10% ซึ่งส่วนนี้มีกำไรขั้นต้นมากกว่า 20%  ภายใต้แนวคิด Healthy Living, Healthy Oceans  เป็นการสร้างกลยุทธ์จากเทรนด์ระยะยาวของผู้บริโภคทั่วโลกที่มองหาอาหารที่ดีต่อสุขภาพและมีความยั่งยืน การขยับตัวครั้งนี้ของ TU จึงไม่ธรรมดา และน่าจับตาอยู่ไม่น้อย

จับมือพันธมิตรแตกไลน์ธุรกิจ

รวมถึงการจับมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งเพื่อต่อยอดธุรกิจร่วมกัน ที่เห็นเด่นชัดอย่างการจับมือกับ “กลุ่มไทยเบฟ” ตั้งกิจการร่วมค้า บริษัทฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ ยูไนเต็ด จำกัด โดย TU ถือหุ้นสัดส่วน 49 % เพื่อร่วมกันพัฒนาสินค้า ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงสุขภาพและอาหารเพื่อสุขภาพที่มีมาร์จิ้นสูงซึ่งคาดว่าจะได้เห็นภายในปีนี้ ซึ่งจุดเด่นของ TU คือการมีวัตถุดิบ  ส่วนกลุ่มไทยเบฟมีจุดเด่นทางด้านช่องทางจัดจำหน่ายและเป็นผู้นำในกลุ่มเครื่องดื่มอีกด้วย

 

หรือแม้แต่การจับมือกับบริษัท อินเตอร์ฟาร์มา จำกัด (มหาชน) หรือ IP  จัดตั้งบริษัทร่วมทุน บริษัทอินเตอร์ฟาร์มา-ซีวิตต้า จำกัด เพื่อดำเนินการวิจัยและพัฒนา (R&D) รวมไปถึงการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ โดยคาดว่าช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะเริ่มเปิดตัวผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับใช้ในโรงพยาบาลและทางการแพทย์ รวมถึงการขยับตัวไปสู่กลุ่มธุรกิจโปรตีนทางเลือก ซึ่งที่ผ่านมา TU ยังได้ออกผลิตภัณฑ์โปรตีนจากพืช ภายใต้แบรนด์ OMG Meat ช่วงเดือนมีนาคม 2564 และยังมีแผนจำหน่ายผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือกใหม่ๆ ที่หลากหลายได้แก่ กุ้งเทมปุระ เบอร์เกอร์กุ้ง เนื้อกุ้งจากพืช ภายในไตรมาส 3/64 นี้

ล่าสุดยังได้ประกาศเข้าลงทุนในบริษัท วิอาควา เธอราปิดิกส์ (ViAqua Therapeutics) สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีชีวภาพสัญชาติอิสราเอล ซึ่งเป็นบริษัททางด้านเทคโนโลยีชีวภาพที่พัฒนาการจัดการโรคในสัตว์น้ำด้วยเทคโนโลยีระดับอาร์เอ็นเอ

ลงทุนในธุรกิจหลักเน้นเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรม และแบรนด์

ส่วนการขยับตัวในส่วนของธุรกิจหลักจะเน้นการลงทุนในเรื่องของ แบรนด์ automation และเทคโนโลยี พัฒนาการผลิตให้ก้าวทันอนาคต ใช้นวัตกรรมมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคทั่วโลก ซึ่งปีนี้ได้มีการลงทุนโรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งพร้อมทาน หรือ culinary project โครงการนำร่อง “โรงงานแห่งอนาคต” ซึ่งเป็นโรงงานผลิตปลาทูน่ากระป๋อง โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการแปรรูปเนื้อปลา นอกจากนี้ยังมีการลงทุนเพิ่มใน Rugen Fisch ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทผู้นำอาหารทะเลของเยอรมัน เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งในแบรนด์สินค้าอาหารทะเลกระป๋องของ TU ในตลาดยุโรปมากยิ่งขึ้น

การจัดตั้งบริษัทย่อย Japan Pet Nutrition โดยถือหุ้น 90% ซึ่งประเทศญี่ปุ่นถือเป็นตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก รวมถึงเดินหน้าลงทุนในปี 2564 นี้ 6,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งลงทุนจำนวน 26 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับการสร้างโรงงานคอลลาเจนเปปไทด์และโปรตีนไฮโดรไลเซต ในประเทศไทย เพื่อแปรรูปโปรตีน สร้างมูลค่าให้กับวัตถุดิบ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2565

ก้าวย่างที่ไม่ธรรมดาจึงชนะทุกวิกฤต

นี่คือการขยับตัวของ TU ที่แต่ละย่างก้าวไม่ธรรมดาจริงๆจึงเป็นการการันตีถึงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่ก้าวไกลและทันเกม ทำให้แม้แต่ช่วงวิกฤต TU ก็ยังมีกำไร เห็นได้ชัดเจนช่วงวิกฤตโควิด -19 TU ยังสามารถเติบโตได้ดีกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์เสียด้วยซ้ำ โดยไตรมาส1/2564 มีกำไรสุทธิราว  1.8 พันล้านบาท เติบโต 77% แม้ว่ารายได้จากยอดขายจะทรงตัวอยู่ที่ 3.1 หมื่นล้านบาท ก็ตาม ส่วนแนวโน้มไตรมาส2/2564 นักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่า ยังดีอย่างต่อเนื่องทั้งจากปัจจัยระยะสั้นค่าเงินบาทอ่อนค่าหนุนกลุ่มส่งออก และสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายในต่างประเทศทั้งยุโรปและสหรัฐอเมริการวมถึงทิศทางช่วงครึ่งหลังของปีนี้ด้วยที่ยังจะฟื้นตัวกลับสู่ภาวะปกติได้

นอกจากนี้ด้านการจ่ายปันผลของ TU ที่ผ่านมาก็ยังให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยที่ระดับ 5% ต่อปี โดยจ่ายจากกำไรสุทธิไม่น้อยกว่า 50% ตามนโยบาย, Valuation ที่ถูก เทรด PE เพียง 12.78 เท่า และที่สำคัญยังเป็นบริษัทที่ฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง มีกำไรสะสมราว 3.6 หมื่นล้านบาท ทั้งหมดทั้งมวลจุดเด่นของ TU อาณาจักรแสนล้านบาท ที่ไม่หยุดแค่เบอร์ 1

🚩🚩ห้อง Official Line ห้องไลน์ฟรี มิติหุ้น ทันทุกสถานการณ์การลงทุน หุ้นเด่น หุ้นเด็ดตลอดวัน กับห้องไลน์ @mitihoonwealth ห้องไลน์ที่นักลงทุนเข้าเป็นสมาชิกฟรี ไม่มีเงื่อนไข เพียงคลิกลิงค์นี้ก็เข้าได้เลย และสามารถส่งต่อให้เพื่อนได้

https://lin.ee/cXAf0Dp