มิติหุ้น-LPH อวดผลงานไตรมาส 2/2564 รายได้รวมโตอยู่ที่ 531.51 ลบ. เพิ่มขึ้น 35.45% มีกำไร 85.70 ลบ.เผยภาพรวมธุรกิจ H1/64 เติบโตในทิศทางที่ดี ยอดผู้ป่วยที่ชำระด้วยเงินสดเพิ่มขึ้น ยอดผู้ป่วยโควิดพุ่ง บอร์ดอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.10 บาทต่อหุ้น ขึ้น XD วันที่ 24 ส.ค.นี้ และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 9 ก.ย. 2564 ประเมินแนวโน้มผลงานครึ่งปีหลังคาดรายได้เติบโตต่อเนื่อง ล่าสุด “ดร.อังกูร ฉันทนาวานิช” แม่ทัพใหญ่ ประกาศปรับเป้ารายได้ปี 2564 เป็นเติบโต 25-30% จากเป้าหมายเดิม 15-20% สำหรับการระบาดโควิด-19 ระลอก 3 ล่าสุด LPH ได้จัดเตรียมจำนวนเตียงรองรับผู้ติดเชื้อไวรัสโควิค-19 เพิ่มอีก 300 เตียง เป็น 1,000 เตียง ในเดือนกรกฎาคมนี้ จากเดิมที่มีจำนวน 700 เตียง ซึ่งเต็มไม่เพียงพอ โดยแบ่งเป็นผู้ป่วยสีเขียว 700 เตียง สีเหลืองอ่อน 300 เตียง
ดร.อังกูร ฉันทนาวานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลลาดพร้าว จำกัด (มหาชน) หรือ LPH เปิดเผยถึง ผลประกอบการของบริษัทฯ ในงวดไตรมาส 2/2564 (สิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2564) มีกำไรสุทธิสำหรับงวดจำนวน 85.70 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 6.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 92.53 ล้านบาท หรือ 1,354.75% โดยมีรายได้รวม 531.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 139.12 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 35.45% โดยมีรายได้จากการรักษาพยาบาล 473.52 ล้านบาท เติบโตขึ้น 39.68% เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ 3 โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมายอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นกว่า 25% ขณะที่ปัจจุบันตัวเลขผู้ป่วยทั่วไปและผู้ป่วยโควิด-19 เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจนจำนวนเตียงพักผู้ป่วยไม่เพียงพอต่อการให้บริการ
โดยภาพรวมธุรกิจของโรงพยาบาล ลาดพร้าว ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากมีรายได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคนไข้เฉพาะทางที่ชำระเงินสด มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับหลังเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ 3 ยอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นกว่า 25% ขณะที่ปัจจุบันตัวเลขผู้ป่วยทั่วไปและผู้ป่วยโควิด-19 เข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลจนเตียงพักผู้ป่วยไม่เพียงพอต่อการให้บริการ และคาดว่าในช่วงไตรมาส 3/64 ยอดผู้ป่วยโควิด จะเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ที่ผ่านมากกว่า 100% ซึ่งคาดว่ารายได้และกำไรสูงสุดตั้งแต่โรงพยาบาลเปิดดำเนินการมากว่า 28 ปี ในปีนี้
ในส่วนของ LPH คนไข้ที่มาคัดกรองตรวจโควิดมีจำนวนมาก และพบว่ามีผู้ติดเชื้อโควิดมากขึ้นเช่นกัน ส่งผลให้จำนวนเตียงไม่เพียงพอ โดยในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ที่ผ่านมา จำนวนเตียงในโรงพยาบาลรับผู้ป่วยสีเหลืองและสีแดงจำนวน 60 เตียง เต็ม 100% และ Hospitel แบ่งเป็นสีเขียว 400 เตียงและสีเหลืองอ่อน 200 เตียง มีผู้ป่วยโควิด เต็มจำนวน โดยในเดือนกรกฎาคม ทำสัญญาเพิ่ม Hospitel สีเขียวอีก 1 แห่ง จำนวน 300 เตียง รวมเป็น 1,000 เตียง โดยประมาณการปี 2564 คาดว่ารายได้และกำไรจะเพิ่มขึ้นสูงสุด โดยรายได้จะเพิ่มขึ้น 25-30% ส่วนกำไรเพิ่มมากกว่า 150% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ขณะที่คาดว่าในช่วงไตรมาส 4/2564 จะเริ่มนำเข้าวัคซีนโควิด-19 (โมเดอร์น่า) ที่โรงพยาบาลสั่งซื้อผ่านสมาคมโรงพยาบาลเอกชนและองค์การเภสัชกรรม เป็นทางเลือกให้กับประชาชน โดยการเจรจาซื้อวัคซีนเป็นไปตามขั้นตอนหรือระเบียบที่ทางราชการกำหนดไว้ ผ่านสมาคมโรงพยาบาลเอกชนและองค์การเภสัชกรรม โรงพยาบาลได้รับจัดสรรและชำระเงินแล้ว ประมาณ 40,000 โดส มีผู้สนใจจองเต็มจำนวน คาดว่าเริ่มนำเข้ามาในเดือนตุลาคม ทั้งนี้ในเดือนสิงหาคมจะมีการจัดซื้อและจัดสรรเพิ่มในล็อตที่ 2 โดยจะเป็นวัคซีนโมเดอร์น่าเวอร์ชันใหม่ที่สามารถป้องกันได้ทุกสายพันธุ์ คาดว่าจะเข้ามาประมาณไตรมาสที่ 1 ปี 2565
จากผลประกอบการครึ่งปีแรก ทางคณะกรรมการบริษัทฯ พิจารณาจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้น สำหรับงวด 6 เดือนสิ้นสุด 30 มิ.ย. 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท (สิบสตางค์) ให้กับหุ้นสามัญของบริษัท ขึ้น XD วันที่ 24 สิงหาคม 2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 9 กันยายน 2564
ส่วนบริษัทในเครือที่ทำธุรกิจให้บริการตรวจวิเคราะห์ ทดสอบ และวิจัยด้านเกษตร อาหาร และยา ภายใต้บริษัท ศูนย์ห้องปฏิบัติการและวิจัยทางการแพทย์และการเกษตรแห่งเอเซีย จำกัด (AMARC) ซึ่งทางโรงพยาบาลถือหุ้น 97% ทางคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติให้มีการแปรสภาพเพื่อระดมทุนในตลาด mai โดยสัดส่วนหุ้น ที่ AMARC จะเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) เป็นจำนวนไม่เกินร้อยละ 30 คาดว่าจะยื่นไฟลิ่งภายในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
สำหรับผลประกอบการของ AMARC ในครึ่งปีแรกรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 15% กำไรใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยประมาณการปีนี้หลังสถานการณ์โควิด ภาครัฐยกเลิกล็อกดาวน์ สถานประกอบการเปิดโรงงานและส่งออกสินค้าได้มากขึ้น คาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้น 20-25% กำไรเพิ่มขึ้น 50% เทียบกับปีก่อน