มิติหุ้น – SMPC ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2564 โกยรายได้อยู่ที่ 1,137.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% มีกำไร 174.07 ล้านบาท ลดลง 4.5% จากปัญหาค่าระวางเรือที่ปรับราคาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดไปทั่วทุกภูมิภาค ลูกค้าบางรายจึงขอเลื่อนกำหนดการรับของ แต่สถานการณ์ได้ปรับดีขึ้นตามลำดับ ด้านบอร์ดเคาะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.35 บาทต่อหุ้น ประเมินแนวโน้มครึ่งปีหลังออเดอร์ยังไหลเข้าต่อเนื่อง สอดรับดีมานด์ในตลาดที่ยังอยู่ในระดับสูงจากภูมิภาคหลัก โดยเฉพาะยอดขายในทวีปแอฟริกา และอเมริกาเหนือ โตแรง เชื่อยอดขายทั้งปี 2564 ทำได้ตามแผน10-15%
นายสุรศักดิ์ เอิบสิริสุข ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) หรือ SMPC ประกอบธุรกิจผลิตถังทนความดันแบบต่างๆ โดยผลิตภัณฑ์หลักเป็นถังสำหรับบรรจุแก๊สปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงหุงต้ม และสำหรับใช้เป็นแหล่งพลังงานรถยนต์ โดยจำหน่ายภายในและต่างประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้า “SMPC” รวมทั้งรับจ้างผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าต่างๆ เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ งวดไตรมาส 2 ปี 2564 บริษัทฯ มียอดขายรวมอยู่ที่ 1,137.16 ล้านบาท โดยยอดขายเพิ่มขึ้น 44.04 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 1,093.12 ล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์ปัญหาค่าระวางเรือที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดไปทั่วทุกภูมิภาคตั้งแต่ปลายปี 2563 เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น และการวางแผนการบริหารจัดการด้านขนส่งมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทำให้การขนส่งเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ในส่วนของความต้องการลูกค้ายังคงมีอย่างต่อเนื่องจากภูมิภาคหลัก โดยเฉพาะยอดขายในทวีปแอฟริกา และอเมริกาเหนือ ยังคงเติบโตจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับผลของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ยังคงทำให้ไทยได้เปรียบการแข่งขันกับจีน
ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 174.07 ล้านบาท ลดลง 8.12 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 182.19 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายและกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น สุทธิกับต้นทุนในการจัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายในการบริหารที่เพิ่มขึ้น
“ในไตรมาส 2/2564 กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 300.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.4% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 288.06 ล้านบาท โดยอัตรากำไรขั้นต้นใกล้เคียงเดิมที่ 26.4% โดยในไตรมาสนี้ต้นทุนในการจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น เนื่องจากอัตราค่าระวางเรือที่เพิ่มราคาอย่างก้าวกระโดดไปทั่วทุกภูมิภาค และค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขายเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับค่าใช้จ่ายในการบริหารที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากค่าจ้างที่ปรึกษา อัตราผลตอบแทนพนักงาน และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับมาตรการป้องกันสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 เพิ่มขึ้น” นายสุรศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้นที่ไว้วางใจเสมอมา ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯมีอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ในอัตราหุ้นละ 0.35 บาทต่อหุ้น จากผลการดำเนินงานของบริษัทฯ สำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์ได้รับเงินปันผล (Record date) วันที่ 24สิงหาคม 2564 และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 9 กันยายน 2564
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะดีกว่าจากในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โดยออเดอร์มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนมากไปถึงปลายปีแล้ว ขณะที่สถานการณ์การส่งออกทางเรือดีขึ้น และแนวโน้มการอ่อนค่าของค่าเงินบาทส่งผลบวกต่อบริษัท ขณะเดียวกันสำหรับปีนี้บริษัทได้มีการขยายตลาดใหม่ๆ เพิ่ม ได้แก่ ในทวีปอเมริกาใต้ หลังจากที่ยอดขายในทวีปอเมริกาเหนือเติบโตแรง นอกจากนี้ยังมีประเทศในแถบแอฟริกาที่ยังมีโอกาสการเติบโตอีกมาก ขณะที่ตลาด CLMV ก็มียอดขายดีขึ้นเช่นเดียวกัน เชื่อว่าจะช่วยสนับสนุนยอดขายในปีนี้ให้เติบโต 10-15% ได้ตามแผน
ส่วนสถานการณ์ราคาเหล็กในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นมากอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลต่อบริษัทบางส่วน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากนโยบายการเสนอราคาของบริษัทเป็นแบบ Cost plus และลูกค้าบางรายที่เป็นออเดอร์ระยะยาว จะมีเงื่อนไขให้บริษัทสามารถเจรจาปรับราคาได้หากมีการเปลี่ยนแปลงของราคาเหล็กมาก ประกอบกับบริษัทยังคงมีสต๊อกเหล็กที่ราคาไม่สูงมากสำรองไว้จำนวนหนึ่ง จึงคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อมาร์จิ้นมากนัก ในทางกลับกัน แนวโน้มราคาเหล็กที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าบางรายตัดสินใจสั่งซื้อในปริมาณที่มากขึ้นและเร็วขึ้น เป็นผลให้ยอดขายเติบโตมากขึ้นด้วย
🚩🚩ห้อง Official Line ห้องไลน์ฟรี มิติหุ้น ทันทุกสถานการณ์การลงทุน หุ้นเด่น หุ้นเด็ดตลอดวัน กับห้องไลน์ @mitihoonwealth ห้องไลน์ที่นักลงทุนเข้าเป็นสมาชิกฟรี ไม่มีเงื่อนไข เพียงคลิกลิงค์นี้ก็เข้าได้เลย และสามารถส่งต่อให้เพื่อนได้
https://lin.ee/cXAf0Dp