ตลาดตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ปรั
บตัวสูงขึ้นในสัปดาห์ก่อน ซึ่งเร่งตัวขึ้นในช่วงท้ายสั
ปดาห์หลัง โดยเฉพาะหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็
ก และดัชนีสำคัญปรับตัวสูงขึ้
นทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง หลังจากประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) แถลงในการประชุมสัมมนาวิ
ชาการประจำปี Jackson Hole ว่า FED จะไม่รีบร้อนลดวงเงินการเข้าซื้
อพันธบัตร (QE Taper) รวมถึงการขึ้นดอกเบี้ย โดยต้องรอดูจนกว่าเศรษฐกิจจะกลั
บเข้าสู่ภาวะการจ้างงานเต็มที่ และไม่ได้กังวลเงินเฟ้อเนื่
องจากเกิดขึ้นจากปัจจัยชั่
วคราวเท่านั้น ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่ค่อนข้
างผ่อนคลายกว่าที่นักวิเคราะห์
บางส่วนกังวลในช่วงก่อนหน้า หลังจากกรรมการ FED หลายรายออกมาสนับสนุนให้มี
การเร่งลดวงเงินในช่วงก่อนหน้า รวมทั้งประเด็นที่สำนั
กงานอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐฯ อนุมัติการใช้งานวัคซีน Pfizer-BioNTech อย่างเต็มรูปแบบ ส่งผลให้ภาคเอกชนสามารถเข้าถึ
งวัคซีนได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านหน่วยงานของรัฐฯ ในขณะที่หุ้นในฝั่งเอเชียส่
วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้นตาม Sentiment ของตลาดโลกจากข่าวการอัดฉี
ดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิ
จมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านหยวน อีกทั้งกองทุนชื่อดัง ARK Investment กลับมาซื้อหุ้นจีนอีกครั้ง นำโดยหุ้นเทคโนโลยีอย่าง
JD.COM เนื่องจากมองว่ายังคงน่
าสนใจในระยะยาว และขอบเขตของการกำกับดูแลที่เริ่
มเห็นชัดเจนมากขึ้น ทำให้หุ้นเทคโนโลยีของจีนฟื้นตั
วแรงในช่วงต้นสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรั
พย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) ได้ออกข้อกำหนดใหม่ที่ระบุว่
าบริษัทจีนที่ต้องการจดทะเบี
ยนเพื่อซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะต้องเปิดเผยข้อมูลการดำเนินกิ
จการในต่างประเทศซึ่งรวมถึงข้
อมูลการเสนอขายหุ้น IPO ข้อมูลที่อาจส่งผลกระทบต่อนั
กลงทุน รวมถึงความเสี่ยงที่หน่
วยงานกำกับดูแลของจีนจะเข้
ามาแทรกแซงการดำเนินงานของบริษั
ท ซึ่งอาจส่งผลลบได้ในอนาคตและต้
องจับตาดูต่อไป ทั้งนี้หุ้นเวียดนามปรับตั
วลดลงสวนทางกับดัชนีอื่นๆ หลังจากเริ่มมาตรการ Lockdown ในเมืองโฮจิมินห์และกำชับให้
ประชาชนอยู่กับบ้าน หลังจากเผชิญกับการแพร่ระบาดอย่
างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนกังวลและเทขายหุ้
นออกมาหลังจากปรับตัวสูงขึ้นอย่
างโดดเด่นในช่วงปีนี้