TFM ผู้ผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่ พร้อมผงาดในตลาดหุ้น

1892


หนึ่งในผู้นำด้านการผลิตอาหารสัตว์เศรษฐกิจได้แก่ อาหารกุ้ง อาหารปลาและอาหารสัตว์บก อยู่ในขณะนี้ คงต้องยกให้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ TFM (ก่อตั้งโดยบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)) โดยมีแบรนด์สินค้าหลักได้แก่ โปรฟีด (PROFEED) นานามิ (NANAMI) อีโก้ฟีด (EGOFEED) แอคควาฟีด (AQUAFEED) และดี-โกรว์ (D-GROW) เป็นต้น  ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารกุ้ง โดย TFM เป็นหนึ่งในผู้นำในกลุ่มตลาดอาหารกุ้ง มีส่วนแบ่งการตลาดอาหารกุ้ง ประมาณร้อยละ 17 ของปริมาณอาหารกุ้งไทย (ปี 2563)

ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารสัตว์น้ำและสัตว์บก

ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารปลา (รวมอาหารกบและอาหารปู) แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ (1) อาหารปลาทะเล เช่น อาหารปลากะพง และปลาเก๋า เป็นต้น (2) อาหารปลาน้ำจืด เช่น อาหารปลานิล และปลาดุก (3) อาหารสัตว์น้ำวัยอ่อน สำหรับการอนุบาลลูกปลา และ (4) อาหารกบ โดย TFM เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกและเป็นผู้นำในกลุ่มตลาดอาหารปลากระพง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์อาหารปลาที่มีราคาจำหน่ายและอัตรากำไรค่อนข้างสูงกว่าอาหารปลาประเภทอื่นๆ มีส่วนแบ่งการตลาดอาหารปลากะพง ประมาณร้อยละ 24 ของปริมาณอาหารปลากระพงไทย (ปี 2563)

และผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารสัตว์บก แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ (1) อาหารสุกร (2) อาหารสัตว์ปีก ได้แก่ อาหารไก่ อาหารเป็ด และอาหารนกกระทา โดยบริษัทฯ ได้เริ่มขยายธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจอาหารสัตว์บกในช่วงปลายปี 2561 และปริมาณการขายอาหารสัตว์บกของบริษัทฯ มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีผลเป็นที่น่าพ่อใจ

ด้วยกำลังการผลิตอาหารสัตว์รวมเท่ากับ 273,000 ตันต่อปี แบ่งเป็นกำลังการผลิตอาหารกุ้ง 153,000 ตันต่อปี กำลังการผลิตอาหารปลา 90,000 ตันต่อปี และกำลังการผลิตอาหารสัตว์บก 30,000 ตันต่อปี ซึ่งส่วนใหญ่เน้นขายในประเทศเป็นหลักสัดส่วนกว่า 90 % จากโรงงานผลิตสินค้า 2 แห่ง คือ โรงงานมหาชัย จ.สมุทรสาคร และโรงงานระโนด จ.สงขลา จุดเด่นคือได้เปรียบคู่แข่งเรื่องต้นทุนค่าขนส่งเนื่องจากใกล้กับแหล่งเพาะเลี้ยงสัตว์ดังกล่าว

รุกขยายตลาดต่างประเทศ

อย่างไรก็ตามบริษัทยังได้เริ่มขยับขยายธุรกิจไปต่างประเทศมากขึ้นและได้ร่วมมือกับพันธมิตรต่างประเทศอินเดียตั้งแต่ปี 2546 ประเทศอินโดนีเซียปี 2561 และปี 2564 ประเทศปากีสถาน ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินธุรกิจและรับรู้รายได้ได้ในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ และภายในสิ้นปีนี้ ตามลำดับ ส่งผลให้บริษัทฯ มีปริมาณการขายที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 143,345 ตัน ในปี 2560 เป็น 145,884 ตัน และ 167,446 ตัน ในปี 2561 และ 2562 ตามลำดับ ส่วนปี 2563 มีปริมาณการขายอยู่ที่ 163,355 ตัน ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ทั้งนี้ สำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทฯ มีปริมาณการขายที่เติบโตขึ้นจาก 76,089 ตัน ในงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2563 เป็น 90,770 ตัน ในงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 19.3 โดยหลักมาจากปริมาณการขายอาหารกุ้งในประเทศและต่างประเทศ อาหารปลาในประเทศและต่างประเทศ และอาหารสัตว์บกที่เพิ่มขึ้น

รายได้และกำไรเติบโตต่อเนื่อง

ด้านรายได้รวมของบริษัทฯในปี 2561 อยู่ที่ 4,492.7 ล้านบาท ปี 2562 อยู่ที่ 4,906.8 ล้านบาท และปี 2563 อยู่ที่ 4,244.5 ล้านบาท และในปี 2561 2562 และ 2563 บริษัทฯ มีกำไรเบ็ดเสร็จรวม เท่ากับ 402.5 ล้านบาท 835.4 ล้านบาท และ 399.7 ล้านบาท ตามลำดับและในงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2563 และ 2564 บริษัทฯ มีกำไรเบ็ดเสร็จรวม เท่ากับ 199.0 บาท และ 114.2 ล้านบาท ตามลำดับ

“บริษัทฯ มุ่งเน้นนำความเชี่ยวชาญ เทคนิคการผลิต และนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์น้ำใหม่ๆ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะทาง เช่น เป็นผู้บุกเบิกการใช้อาหารเม็ดสำเร็จรูปในการเพาะเลี้ยงปลากะพง รวมถึงคิดค้นสูตรการผลิตใหม่ๆ เช่น สูตรการผลิตอาหารสัตว์น้ำที่ลดปริมาณการใช้ปลาป่นและน้ำมันปลา และสูตรการผลิตอาหารปลาสลิด อาหารปู เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ธุรกิจของ TFM ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะตลาดในประเทศไทยเท่านั้น บริษัทฯ ได้มีการขยายธุรกิจไปยังประเทศที่อุตสาหกรรมสัตว์น้ำมีศักยภาพในการเติบโต เพื่อเป็นตัวแทนของประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตอาหารสัตว์เศรษฐกิจเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารในภูมิภาคเอเชีย และ TFM พร้อมก้าวไปอีกขั้นด้วยการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย”นายบรรลือศักร โสรัจจกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าว

พร้อมเสนอขาย IPO 109.3 ล้านหุ้น

ปัจจุบัน TFM มีทุนจดทะเบียนจำนวน 1,000,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 500.0 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 2 บาท โดยเป็นทุนชำระแล้วทั้งสิ้นจำนวน 820,000,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 410.0 ล้านหุ้น และจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 109.3 ล้านหุ้น แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุน 90.0 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) จำนวน 19.3 ล้านหุ้น รวมทั้งหมดคิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 21.9 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้

โดยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ในการขยายธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำในประเทศอินโดนีเซียและปากีสถาน ชำระคืนเงินกู้ยืม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในอนาคต ซึ่งจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมีบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

🚩🚩ห้อง Official Line ห้องไลน์ฟรี มิติหุ้น ทันทุกสถานการณ์การลงทุน หุ้นเด่น หุ้นเด็ดตลอดวัน กับห้องไลน์ @mitihoonwealth ห้องไลน์ที่นักลงทุนเข้าเป็นสมาชิกฟรี ไม่มีเงื่อนไข เพียงคลิกลิงค์นี้ก็เข้าได้เลย และสามารถส่งต่อให้เพื่อนได้

https://lin.ee/cXAf0Dp