มิติหุ้น – นายนิธิ สัจจทิพวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง MyCloudFulfillment หรือบริษัท อี-เอ็มพาวเวอร์เมนท์ จำกัด เผยถึงการระดมทุนในครั้งนี้ว่า การระดมทุนในรอบนี้มีมูลค่ากว่า 7.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณกว่า 250 ล้านบาท) โดยเม็ดเงินระดมทุนทั้งหมดในรอบนี้จะนำไปสู่การเพิ่มศักยภาพด้านคลังสินค้าและการรองรับลูกค้า ขยายทีมบริหารและทีมงานส่วนการพัฒนาระบบ และขยายพื้นที่บริการไปสู่ต่างประเทศ ตอบรับความต้องการด้านบริการที่เติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
“การระดมทุนรอบนี้เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่สำหรับเรา ไม่เพียงแต่เงินลงทุนที่จะช่วยในการเพิ่มศักยภาพในการเติบโตมากขึ้น แต่เรายังได้พาร์ทเนอร์คนสำคัญที่จะร่วมกันช่วยหาลูกค้า พัฒนาคลังสินค้าและขยายบริการให้ครอบคลุมตามความต้องการของแต่ละอุตสาหกรรมอีกด้วย การจับมือกับ JWD ในคราวนี้คือการดึงความสามารถที่ดีที่สุดของทั้งสองฝ่ายมาเชื่อมเข้าด้วยกัน โดยที่ MyCloudFulfillment จะเป็นคนซัพพอร์ตเรื่องระบบคลังสินค้า ระบบจัดการออเดอร์ และการดำเนินงานในคลังสินค้า ส่วน JWD จะซัพพอร์ตเรื่องการลงทุนด้านคลังสินค้า พวกเราสามารถใช้โครงสร้างพื้นฐาน และประสบการณ์ด้านโลจิสติกส์ของ JWD ที่มีอยู่ ในการขยายธุรกิจให้รวดเร็ว และแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ส่วน JWD ยังสามารถให้บริการ fulfillment แบบเต็มประสิทธิภาพให้ลูกค้าตัวเองได้อย่างรวดเร็วทันที ยิ่งไปกว่านั้นเรายังสามารถนำผลิตภัณฑ์ด้านการเงินของ SCB 10X มาใช้เพื่อช่วยสร้างความสะดวกสบายให้กับลูกค้าของเราอีกด้วย”
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนระดับอาเซียน เปิดเผยว่า “ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้เข้าร่วมลงทุนกับ MyCloudFulfillment ในรอบ Series B นี้ ทาง JWD เล็งเห็นถึงความสามารถในการจัดการออเดอร์ การดูแลลูกค้า และการขยายคลังได้อย่างรวดเร็ว พวกเราจึงมั่นใจและลงทุนในบริษัท ซึ่งมีการเติบโตอย่างดีตามเทรนด์ของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ด้าน JWD เองเรามีประสบการณ์โลจิสติกส์ที่สั่งสมมายาวนานทั้งในและต่างประเทศ มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีการลงทุนคลังสินค้าหลายประเภทในทำเลยุทธ์ศาสตร์ และฐานลูกค้าครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรม เมื่อผนวกเข้ากับความเชี่ยวชาญของ MyCloudFulfillment ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพไทยชั้นนำ มีเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ซึ่งเป็น asset สำคัญ สามารถเชื่อมต่อกับทุกแฟลตฟอร์มออนไลน์และการทำ data mining ช่วยจัดการออเดอร์หลังบ้านได้ง่ายและไร้รอยต่อ นั่นจึงทำให้ JWD เองสามารถเริ่มต้นทำบริการ Fulfillment ได้ภายใน2เดือน การร่วมมือกันนี้ช่วยเพิ่มสปีดของทั้งสองฝั่ง ในการขยายคลังสินค้าออนไลน์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพิ่มความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันทันที และ สามารถช่วยกันพัฒนา Fulfillment ให้ล้ำสมัยที่สุด โดยยังคงเน้นเรื่องความใส่ใจในงานบริการและความเป็นผู้เชี่ยวชาญ พวกเรามั่นใจว่า MyCloudFulfillment จะสามารถเป็นผู้นำด้าน Order Fulfillment ได้อย่างแน่นอน”
นางมุขยา พานิช Chief Venture and Investment Officer บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด (SCB 10X) กล่าวว่า “SCB 10X มีความยินดีและตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นหนึ่งในผู้ลงทุนของ MyCloudFulfillment สตาร์ทอัพชั้นนำด้านคลังสินค้าออนไลน์ครบวงจรของประเทศไทย ตั้งแต่การระดมทุนในรอบ Series A เมื่อปีที่ผ่านมา โดยเรายังคงให้การสนับสนุนต่อเนื่องในการระดมทุนรอบ Series B ร่วมกับ JWD ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนระดับอาเซียน และจากสถานการณ์โควิด-19 เราพบว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีการนำเอาดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามาผสานกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในปัจจุบัน รวมถึงการนำมาปรับใช้ในเรื่อง Digital Transformation ขององค์กรต่าง ๆ อีกด้วย โดยในช่วงสองปีที่ผ่านมาเราเห็นถึงการเพิ่มขึ้นของโซเชียลคอมเมิร์ซและอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้คนหันมาใช้บริการออนไลน์กันมากขึ้น ดังนั้น สตาร์ทอัพที่สามารถให้บริการด้าน fulfillment และโลจิสติกส์ จะยังคงได้รับประโยชน์อย่างมากจากการเติบโตนี้”
“MyCloudFulfillment ผู้ให้บริการคลังสินค้าออนไลน์ครบวงจรแบบไร้รอยต่อ ด้วยบริการที่ครอบคลุมด้านคลังจัดเก็บสินค้า แพ็คสินค้า การสั่งซื้อแพ็กเกจจิ้ง และจัดส่งสินค้าให้กับธุรกิจโซเชียลคอมเมิร์ซ อีคอมเมิร์ซ และ Omnichannel จะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของโซเชียลคอมเมิร์ซและอีคอมเมิร์ซในปัจจุบัน นอกจากการสนับสนุนผ่านการลงทุนในการระดมทุนรอบ Series B แล้ว เรายังคงมีแผนในการพัฒนาโซลูชันต่าง ๆ ร่วมกัน เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ด้านโซเชียลคอมเมิร์ซในอนาคต เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ประกอบการรวมถึงลูกค้าอีกด้วย” นางมุขยา กล่าวเสริม
ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา MyCloudFulfillment มียอดออเดอร์เติบโตอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่ 300,000 ออเดอร์ต่อเดือน ซึ่งเติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันเมื่อปีที่แล้วกว่า 3 เท่า และได้มีการขยายคลังสินค้าจากเดิม 2 แห่ง ที่ลาดกระบังและรังสิต พื้นที่รวมกว่า 10,000 ตารางเมตร สู่คลังสินค้าที่ 3 คลังสินค้าแห่งใหม่ ย่านมีนบุรี ด้วยพื้นที่กว่าอีก 6,500 ตารางเมตร ผ่านการร่วมมือกับ JWD Group โดยคลังสินค้าแห่งใหม่นี้จะสามารถรองรับออเดอร์ได้สูงสุดถึงวันละ 30,000 ออเดอร์ ล่าสุด MyCloudFulfillment ยังได้รับรางวัลมากมายไม่ว่าจะเป็น รางวัลเกียรติคุณ ในงานรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2564 ด้านองค์กรนวัตกรรมดีเด่น ประเภทองค์กรภาคเอกชนขนาดกลาง รางวัล Bai Po Business Awards by Sasin รวมถึง ยังเป็น 1 ใน 2 สตาร์ทอัพของไทย ที่ได้รับการคัดเลือกเป็น Forbes Asia 100 To Watch ในปีนี้อีกด้วย
“MyCloudFulfillment เป็นคลังสินค้าออนไลน์ที่เหมาะที่สุดกับคนที่ขายของหลายช่องทาง เราเชื่อมต่อกับช่องทางการขายต่างๆ ดึงออเดอร์ และอัพเดทสต๊อกคงเหลือกลับไป ไม่ว่าจะเป็น Marketplace, Website CMS, Live commerce และอื่นๆ นอกจากการเชื่อมต่อ API แล้ว ระบบของเรายังมีฟีเจอร์ต่าง ๆ สำหรับช่วยให้การขายเป็นไปตามอัตโนมัติ เช่น การจัดเซ็ตเสมือน การจัดการโปรโมชั่น เป็นต้น อีกทั้งบริการของเรายังสามารถปรับตามความต้องการและลักษณะเฉพาะของแต่ละร้านค้าได้ด้วย รวมถึงคลังสินค้าของเรายังมีความยืดหยุ่น ในการรองรับออเดอร์ที่มีความผันผวนสูง อย่างไรก็ตามเป้าหมายของบริษัทไม่ได้หยุดอยู่ที่แค่บริการด้านคลังสินค้า เป้าหมายสูงสุดของเราคือการเป็นผู้ช่วยคนสำคัญสำหรับธุรกิจออนไลน์ เรามีความเชื่อเสมอมาตั้งแต่ตั้งต้นว่า ทุก ๆ อย่างที่เราทำ เราต้องการทำให้ธุรกิจออนไลน์จัดการร้านได้อย่างมีประสิทธิภาพและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ณ วันนี้เราช่วยเหลือลูกค้าของเราด้านการบริหารจัดการคลังสินค้า แต่สิ่งที่เราต้องการทำต่อไปคือการช่วยลดเงินจมในสต๊อก และช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย ซึ่งเราจะสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ผ่านการนำข้อมูลของร้านค้านั้น ๆ มาวิเคราะห์อย่างละเอียด หนึ่งในสิ่งที่ทีมพัฒนาของเราพัฒนาเพื่อใช้ในปีหน้าคือ Inventory Intelligence ด้วย Machine Learning โดยเริ่มจากการเก็บข้อมูลผู้บริโภคในเชิงลึกและพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของสต๊อกสินค้าในระบบของแต่ละร้านค้า นำไปสู่การวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ออกมาเป็นข้อมูลสำคัญที่เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจสำหรับธุรกิจ เช่น สินค้าชิ้นไหนควรเก็บมากขึ้นหรือน้อยลง สินค้าชิ้นไหนขายแล้วมีกำไรหรือขาดทุน รูปแบบการขายชนิดนั้นสร้างยอดขายให้กับสินค้าชนิดไหน เป็นต้น”
“เรามองว่าตลาดอีคอมเมิร์ซยังมีอนาคตที่ดี ยิ่งวันมีแต่จะใหญ่ขึ้น ไม่มีวันที่จะเล็กลง ปัจจุบันตลาดอีคอมเมิร์ซของเอเซียอยู่ที่ 45 ล้านล้านบาท ซึ่งใหญ่กว่าการนำมูลค่าอีคอมเมิร์ซของภูมิภาคอื่น ๆ รวมกันเสียอีก ที่สำคัญ โซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังมีอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดในภูมิภาคอยู่ที่ 44.2 เปอร์เซนต์ ในส่วนของประเทศไทย จากปีที่แล้ว 2020 ตลาดมีมูลค่าอยู่ที่ 2.28 แสนล้านบาท (เติบโตมาจากปี 2019 มากถึง 42 เปอร์เซ็นต์) และในปี 2021 คาดว่าตลาดมีมูลค่าอยู่ที่ 2.80 แสนล้านบาท ซึ่งเติบโตเพิ่มขึ้นมาอีก 22 เปอร์เซ็นต์ สังเกตได้ว่าถึงแม้ว่าสถานการณ์โควิดจะดีขึ้น คนกลับมาใช้ชีวิตปกติได้มากขึ้น แต่การซื้อขายออนไลน์ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด มีแต่จะมากขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่น่าสนใจคือคนไทยมีกำลังใช้จ่ายซื้อสินค้าออนไลน์กว่า 7,290 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูง เท่าๆกันกับอินโดนีเซียและเป็นรองแค่ประเทศสิงคโปร์ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งหมดนี้ จึงทำให้ผมเชื่อเป็นอย่างมากว่า โอกาสของอีคอมเมิร์ซไทยยังมีอีกมาก ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจประเทศของเราอาจจะฟื้นตัวช้ากว่าประเทศอื่น ๆ แต่เศรษฐกิจด้านอีคอมเมิร์ซของเรากำลังเติบโตเป็นอย่างมาก และ อนาคตแห่งการขายกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าตื่นเต้น” นายนิธิ สัจจทิพวรรณกล่าว
“อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้มองถึงการขยายธุรกิจอย่างก้าวกระโดด หากแต่เราต้องการที่จะตั้งใจพัฒนาประสิทธิภาพและบริการของเราให้ดียิ่งๆขึ้นในทุกๆวัน เรามองถึงการเติบโตอย่างมั่นคง เพื่อตอบจุดประสงค์หลักอันเดียวของบริษัทตั้งแต่ก่อตั้ง ให้ได้ในทุก ๆ ช่วงสมัย นั่นก็คือการช่วยให้ลูกค้าจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ เติบโตได้อย่างยั่งยืน เราไม่ได้มองแค่การขยายฐานลูกค้า แต่ลูกค้าทุกคนที่เราให้บริการ เราต้องมั่นใจว่าเราช่วยเค้าได้จริง ๆ เราต้องการให้ลูกค้าแต่ละคนที่ใช้บริการของเรา ขายได้มากขึ้น มีกำไรที่มากขึ้น ธุรกิจเติบโตขึ้นจริง ๆ”
🚩🚩ห้อง Official Line ห้องไลน์ฟรี มิติหุ้น ทันทุกสถานการณ์การลงทุน หุ้นเด่น หุ้นเด็ดตลอดวัน กับห้องไลน์ @mitihoonwealth ห้องไลน์ที่นักลงทุนเข้าเป็นสมาชิกฟรี ไม่มีเงื่อนไข เพียงคลิกลิงค์นี้ก็เข้าได้เลย และสามารถส่งต่อให้เพื่อนได้
https://lin.ee/cXAf0Dp