TTA รายงานผลกำไรสุทธิสูงสุดถึง 1,614.4 ล้านบาท

43

มิติหุ้น  –  บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA รายงานผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง โดยมีรายได้เติบโต จำนวน 5,947.7 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 3/2564 เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 83 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งได้รับอานิสงส์จากกลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือที่เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากอัตราค่าระวางเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบกว่าทศวรรษ ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือ กลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่มการลงทุนอื่น มีสัดส่วนรายได้คิดเป็นร้อยละ 59 ร้อยละ 14 ร้อยละ 14 ร้อยละ 9 และร้อยละ 4 ของรายได้รวมทั้งหมด ตามลำดับ กำไรขั้นต้นก่อนหักค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 75 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 193 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 2,479.6 ล้านบาท ส่วน EBITDA เติบโตร้อยละ 91 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 486 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 1,935.8 ล้านบาท โดยสรุป TTA รายงานกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบกว่าทศวรรษ จำนวน 1,614.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 204 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 219 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในไตรมาสที่ 3/2564

นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TTA กล่าวว่า “ผลการดำเนินงานและผลประกอบการอันแข็งแกร่งในไตรมาสที่ 3/2564 นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือมีอัตราค่าระวางเรือเทียบเท่า (TCE) เฉลี่ยสูงกว่าค่าระวางตลาดสุทธิ โดยมีกำไรทั้งจากเรือที่กลุ่มธุรกิจฯ เป็นเจ้าของและเรือที่เช่ามาเสริม ส่วนกลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่งยังคงมีกำไรขั้นต้นเป็นบวกและมีมูลค่างานให้บริการที่รอส่งมอบ (order book) ที่แข็งแกร่ง ประกอบกับธุรกิจให้บริการวางสายเคเบิลใต้ทะเลมีจุดยืนที่มั่นคงพร้อมที่จะเสนออัตราค่าบริการให้แก่ลูกค้าในระดับที่แข่งขันกับตลาดได้ ด้านกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตรยังคงสามารถทำกำไรได้ต่อเนื่องเช่นกัน จากราคาขายปุ๋ยที่สูงขึ้น และยอดขายผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อการเกษตรประเภทอื่น (pesticide) ที่เพิ่มขึ้น นับจากนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่าธุรกิจต่างๆ มีแนวโน้มที่ดี และจะเดินหน้าขยายการลงทุน ทั้งเพื่อรองรับแผนการเติบโตระยะยาวของบริษัทฯ และเพื่อส่งเสริมการดำเนินงานของบริษัทในเครือ”

ผลการดำเนินงานของรายกลุ่มธุรกิจ

กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือ :

รายได้จากค่าระวางของโทรีเซน ชิปปิ้ง ในไตรมาสที่ 3/2564 อยู่ที่ 3,489.5 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 202 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสาเหตุหลักมาจากค่าระวางเรือที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ อัตราค่าระวางเรือซุปราแมกซ์ในไตรมาสที่ 3/2564 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 34,269 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของกองเรือที่จำกัด ความต้องการถ่านหินและสินค้าเทกองย่อยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและความแออัดของท่าเรือที่ยังคงดำเนินมาอย่างต่อเนื่องจากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19

ทั้งนี้ อัตราค่าระวางเรือเทียบเท่าเฉลี่ยในไตรมาสที่ 3/2564 ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 85 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 196 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 33,842 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน สูงกว่าอัตราค่าระวางเรือซุปราแมกซ์สุทธิที่ 32,556 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน อยู่ร้อยละ 4 โดยเรือที่โทรีเซน ชิปปิ้ง เป็นเจ้าของมีอัตราการใช้ประโยชน์เรือสูงอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 100 และมีอัตราค่าระวางเรือเทียบเท่าสูงสุดเท่ากับ 53,160 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของเรือ (OPEX) ลดลงร้อยละ 7 จากไตรมาสก่อน อยู่ที่ 3,861 ดอลลาร์สหรัฐต่อวันต่อวัน ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมอยู่ร้อยละ 14

โดยสรุป โทรีเซน ชิปปิ้ง รายงานผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของ TTA ทำสถิติสูงสุดในรอบกว่าทศวรรษ จำนวน 1,769.2 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 3/2564 ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 163 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 685 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นเจ้าของเรือ 24 ลำ (เรือซุปราแมกซ์ 22 ลำ และเรืออัลตราแมกซ์ 2 ลำ) มีระวางบรรทุกเฉลี่ยเท่ากับ 55,913 เดทเวทตัน (DWT) และมีอายุเฉลี่ย 13.5 ปี ณ สิ้นไตรมาส

จากบทวิเคราะห์ของ Clarksons คาดการณ์การเติบโตของการค้าสินค้าแห้งเทกองที่ร้อยละ 4.1 ในหน่วยตันหรือร้อยละ 4.8 ในหน่วยตัน-ไมล์ สำหรับทั้งปี 2564 เนื่องจากการฟื้นตัวของความต้องการถ่านหินและสินค้าเทกองย่อย และคาดการณ์การเติบโตของการค้าสินค้าแห้งเทกองที่ร้อยละ 2.4 ในหน่วยตัน-ไมล์ สำหรับปี 2565 สำหรับอุปทานเรือเทกอง การสั่งต่อเรือใหม่มีจำนวนต่ำเป็นประวัติการณ์ที่ร้อยละ 6 ของกองเรือทั้งหมด ต่ำสุดในรอบ 30 ปี ปัจจุบันคาดว่าการขยายกองเรืองจะชะลอตัวลงเหลือร้อยละ 3.5 ในหน่วยเดดเวทตัน (DWT) ในปี 2564 และร้อยละ 1.5 ในปี 2565 โดยรวมแล้วการเติบโตของการค้าสินค้าแห้งเทกองสูงกว่าการขยายกองเรือซึ่งสะท้อนถึงดุลยภาพของปัจจัยพื้นฐานของอุตสาหกรรมเรือเทกอง อย่างไรก็ตาม หากมีกระจายวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไปทั่วโลกได้อย่างทั่วถึง

 

กลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง :

รายได้ของบริษัท เมอร์เมด มาริไทม์ จำกัด (มหาชน) หรือเมอร์เมดฯ ในไตรมาสที่ 3/2564 อยู่ที่ 859.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 26 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีสาเหตุหลักมาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจให้บริการวางสายเคเบิลใต้ทะเล นอกจากนี้ เมอร์เมดฯ มีอัตราการใช้ประโยชน์ของเรือวิศวกรรมใต้ทะเล (performing subsea vessel utilization) เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน คิดเป็นร้อยละ 74 ในไตรมาสที่ 3/2564 เนื่องจากสัญญาให้บริการที่รอส่งมอบ

กำไรขั้นต้นเป็นบวกอย่างต่อเนื่องที่ 75.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากธุรกิจให้บริการวางสายเคเบิลใต้ทะเลที่เพิ่มขึ้น แต่ลดลงร้อยละ 39 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากเกิดความล่าช้าในการเคลื่อนย้ายเรือและลูกเรือเข้าไปทำงานในโครงการวางสายเคเบิลใต้ทะเลโครงการใหม่จากผลกระทบของโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน โครงการมีความคืบหน้าดี เนื่องจากได้ติดตั้งอุปกรณ์ที่จำเป็นเรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ EBITDA ของเมอร์เมดฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 55 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น (47.1) ล้านบาท จาก (105.1) ล้านบาท แต่ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อน โดยสรุป เมอร์เมดฯ รายงานผลขาดทุนสุทธิสำหรับงวด จำนวน 139.8 ล้านบาท และผลขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของ TTA จำนวน 81.4 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 3/2564 ซึ่งปรับตัวดีขึ้นร้อยละ 95 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในไตรมาสที่ 3/2564 และไม่มีผลขาดทุนทางบัญชีจากการขายหุ้นทั้งหมดในบริษัทร่วมแห่งหนึ่งเพื่อลดความเสี่ยงในธุรกิจขุดเจาะ เหมือนที่บันทึกในไตรมาสที่ 3/2563 และมีมูลค่าสัญญาให้บริการที่รอส่งมอบอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่260 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส

 

กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร :

รายได้ของบริษัท พีเอ็ม โทรีเซน เอชีย โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PMTA ในไตรมาสที่ 3/2564 อยู่ที่ 830.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรายได้จากแต่ละผลิตภัณฑ์และการบริการเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ย ผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อการเกษตรอื่น (pesticide) และการให้บริการจัดการพื้นที่โรงงาน แต่ลดลงร้อยละ 7 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณการขายปุ๋ยในประเทศที่ลดลง

ปริมาณการขายปุ๋ยรวมในไตรมาสที่ 3/2564 เท่ากับ 49.7 พันตัน ลดลงร้อยละ 12 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 19 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากปริมาณการขายปุ๋ยในประเทศที่ลดลง โดยปริมาณการขายปุ๋ยในประเทศอยู่ที่ 35.7 พันตัน ลดลงร้อยละ 28 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 21 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการจำกัดการขนส่งทางบกที่เกิดจากมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ 3 ในประเทศเวียดนามตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม

ทั้งนี้ การส่งออกปุ๋ยไปประเทศฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้น ขณะที่การส่งออกไปยังแอฟริกาและตลาดอื่นๆ ได้ฟื้นตัว ส่งผลให้ปริมาณส่งออกปุ๋ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 113 จากไตรมาสก่อน เป็น 14.0 พันตัน

ส่วนรายได้จากการให้บริการจัดการพื้นที่โรงงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 36 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 67 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 17.6 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 3/2564 จากความต้องการคลังเก็บสินค้าที่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าราคาขายปุ๋ยจะสูงขึ้น แต่กำไรขั้นต้นลดลงร้อยละ 19 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 103.8 ล้านบาท เนื่องจากราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นจากปริมาณส่งออกวัตถุดิบจากประเทศจีนที่ลดลงและราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ด้วยเหตุนี้ EBITDA ของ PMTA จึงอยู่ที่ 40.8 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 27 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 20 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนั้นยังมีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นจริงและยังไม่เกิดขึ้นจริงสุทธิ จำนวน 13.1 ล้านบาท เนื่องจากเงินบาทอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐและดองเวียดนาม โดยสรุป PMTA รายงานผลกำไรสุทธิสำหรับงวด จำนวน 24.9 ล้านบาท และผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของ TTA จำนวน 17.0 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 3/2564

 

กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage)

พิซซ่า ฮัท ดำเนินงานภายใต้บริษัทย่อยที่ TTA ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 70 ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 พิซซ่า ฮัท มีสาขาทั้งหมด 171 สาขา ทั่วประเทศ ซึ่งสาขาทั้งหมดที่เปิดใหม่เป็นสาขาที่เปิดตามหัวเมืองใหญ่

ทาโก้ เบลล์ เป็นแฟรนไชส์อาหารเม็กซิกันสไตล์ที่มีชื่อเสียงชั้นนำระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา ดำเนินงานภายใต้บริษัทย่อยที่ TTA ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 70 ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 ทาโก้ เบลล์ มีสาขาทั้งหมด 11 สาขา ทั่วประเทศ

กลุ่มการลงทุนอื่น (Investment) มุ่งเน้นธุรกิจการบริหารทรัพยากรน้ำและโลจิสติกส์

บริษัท เอเชีย อินฟราสตรักเชอร์ แมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ AIM ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ TTA ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 83.75 เป็นผู้ออกแบบ ก่อสร้าง และให้บริการครบวงจรทางด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ AIM ยังได้รับสัมปทานในการจำหน่ายน้ำประปาในหลวงพระบาง ประเทศลาว ผ่านบริษัทย่อยที่ AIM ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 66.7

🚩🚩ห้อง Official Line ห้องไลน์ฟรี มิติหุ้น ทันทุกสถานการณ์การลงทุน หุ้นเด่น หุ้นเด็ดตลอดวัน กับห้องไลน์ @mitihoonwealth ห้องไลน์ที่นักลงทุนเข้าเป็นสมาชิกฟรี ไม่มีเงื่อนไข เพียงคลิกลิงค์นี้ก็เข้าได้เลย และสามารถส่งต่อให้เพื่อนได้

https://lin.ee/cXAf0Dp