เป็นการระดมทุนครั้งสำคัญของบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO ที่ประกาศเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไป (Public Offering หรือ PO) อีกทั้งผู้ถือหุ้นเดิมของ MAKRO คือ (1) บริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) หรือ CPALL (2) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จํากัด หรือ CPH และ (3) บริษัท ซี.พี.เมอร์แชนไดซิ่ง จํากัด หรือ CPM จะร่วมเสนอขายหุ้นสามัญ MAKRO ที่ตนถืออยู่ด้วยบางส่วน โดยมีรายละเอียดเพิ่มเติม ดังนี้
เสนอขายหุ้น PO ไม่เกิน 1,300 ล้านหุ้น
MAKRO พร้อมเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไป (Public Offering หรือ PO) จำนวนไม่เกิน 1,300 ล้านหุ้น แบ่งออกเป็น (1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดย MAKRO จำนวนไม่เกิน 910 ล้านหุ้น (2) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย CPALL จำนวนไม่เกิน 156 ล้านหุ้น (3) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย CPH จำนวนไม่เกิน 156 ล้านหุ้น และ (4) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย CPM จำนวนไม่เกิน 78 ล้านหุ้น นอกจากนี้ MAKRO อาจพิจารณาจัดสรรหุ้นส่วนเกินอีกจำนวนไม่เกิน 130 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 10.00 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่เสนอขายให้แก่ประชาชนในครั้งนี้ โดยเสนอขายที่ราคา 43.50 บาทต่อหุ้น จะเปิดจองซื้อให้ผู้ถือหุ้นเดิมของ MAKRO CPALL และ CPF ที่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญ MAKRO และนักลงทุนรายย่อยจองซื้อในวันที่ 4 – 9 ธันวาคมนี้
โดย MAKRO จะจัดสรรหุ้นสามัญบางส่วนจากหุ้นสามัญทั้งหมดที่เสนอขายให้แก่ประชานทั่วไป ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญ ตามสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทต่าง ๆ ดังนี้
- ผู้ถือหุ้นเดิมของ MAKRO (ยกเว้น CPALL บริษัทย่อยของ CPALL CPM และ CPH) ในอัตราส่วน 10 หุ้นสามัญของ MAKRO ต่อ 1 หุ้นสามัญของ MAKRO ที่เสนอขาย
- ผู้ถือหุ้นเดิมของ CPALL (ยกเว้นกลุ่ม CPG หรือบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ตามแบบ 56-1 ประจำปี 2563 ของ CPALL) ในอัตราส่วน 15 หุ้นสามัญของ CPALL ต่อ 1 หุ้นสามัญของ MAKRO ที่เสนอขาย
- ผู้ถือหุ้นเดิมของ CPF (ยกเว้นกลุ่ม CPG ตามแบบ 56-1 ประจำปี 2563 ของ CPF) ในอัตราส่วน 70 หุ้นสามัญของ CPF ต่อ 1 หุ้นสามัญของ MAKRO ที่เสนอขาย
ผู้ถือหุ้นเดิมที่ได้รับสิทธิจองซื้อผ่านตัวแทนรับจองซื้อหุ้น 2 ราย
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ระบุว่า ผู้ถือหุ้นเดิมของ MAKRO CPALL และ CPF ที่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญ MAKRO สามารถจองซื้อผ่านตัวแทนรับจองซื้อหุ้น (Subscription Agents) 2 ราย ทั้งการจองซื้อผ่านแอปพลิเคชัน Bangkok Bank Mobile Banking และแอปพลิเคชัน SCB EASY หรือหากไม่สะดวกจองซื้อทางแอปฯ สามารถจองซื้อได้ที่สาขาทั่วประเทศของธนาคารกรุงเทพและธนาคารไทยพาณิชย์ โดยสามารถจองซื้อตามสิทธิที่ได้รับจัดสรร เกินกว่าสิทธิที่ได้รับจัดสรร (ไม่กำหนดจำนวนจองซื้อสูงสุดของการจองซื้อหุ้นเกินกว่าสิทธิที่ได้รับจัดสรร) หรือน้อยกว่าสิทธิที่ได้รับจัดสรรก็ได้ การจัดสรรหุ้นแก่ผู้ถือหุ้นเดิมที่มีสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญ จะดำเนินการด้วยระบบคอมพิวเตอร์ของ SETTRADE ซึ่งจะจัดสรรหุ้นตามสิทธิที่ได้รับแก่ผู้ถือหุ้นสามัญเดิมของทั้ง 3 บริษัท ทุกรายที่จองซื้อในรอบแรก โดยสิทธิในการได้รับจัดสรรหุ้นสามัญเกินกว่าสิทธิของผู้ถือหุ้นเดิมแต่ละราย จะคำนวณจากการนำสิทธิของผู้ถือหุ้นเดิมของทั้ง 3 บริษัท ที่แสดงความจำนงจองซื้อเกินกว่าสิทธิที่ยังได้รับการจัดสรรไม่ครบในแต่ละรอบมารวมกัน และจะจัดสรรเพิ่มแก่ผู้จองซื้อเกินกว่าสิทธิของผู้ถือหุ้นเดิมจนกว่าหุ้นจะหมดหรือครบตามจำนวนที่มีผู้ถือหุ้นเดิมใช้สิทธิจองซื้อ
นักลงทุนรายย่อยทั่วไปจองซื้อหุ้น PO ได้ จัดสรรหุ้นด้วยวิธี Small Lot First
นางสาววีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และตัวเเทนบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ระบุว่า MAKRO จะจัดสรรหุ้นสามัญให้กับนักลงทุนรายย่อยทั่วไป โดยใช้วิธีจัดสรรแบบ Small Lot First ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ของ SETTRADE นักลงทุนรายย่อยทั่วไปสามารถจองซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายหุ้น (Selling Agents) 3 ราย ได้แก่ (1) แอปพลิเคชัน SCB EASY (2) แอปพลิเคชัน Bangkok Bank Mobile Banking (หรือหากไม่สะดวกจองซื้อทางแอปฯ สามารถจองซื้อได้ที่สาขาทั่วประเทศของธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกรุงเทพ) และ (3) แอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet โดยบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที หรือสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร 02-090-9191 ในเวลาทำการ 09.00 – 18.00 น.
โดยการเสนอขายหุ้นสามัญ MAKRO ในครั้งนี้ จะนำเงินจากการระดมทุนไปใช้ขยายธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมถึงนำไปชำระเงินกู้ยืมสถาบันการเงินบางส่วน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการต่อไป
ราคาเสนอขายมีส่วนลดจากราคาหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง
การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น PO ที่ 43.50 บาทต่อหุ้น ถือเป็นราคาที่มีความเหมาะสมด้วยเหตุผล 4 ประการ ได้แก่
1) นักลงทุนทุกกลุ่มจะได้จองซื้อในราคาเดียวกัน ทั้งผู้ถือหุ้นเดิมที่มีสิทธิได้รับจัดสรร ผู้จองซื้อรายย่อย นักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนหลักแบบเฉพาะเจาะจง (Cornerstone Investors) 2) ง่ายต่อการสื่อสารและการดำเนินการกับนักลงทุนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อยและผู้ถือหุ้นเดิม ที่มีสิทธิได้รับจัดสรร สามารถชำระเงินจองซื้อด้วยราคาเดียวกัน ทำให้ลดปัญหาเรื่องกระบวนการคืนเงินจองซื้อ 3) นักลงทุนจะได้จองซื้อหุ้นสามัญ MAKRO ในราคาเดียวกับราคา Swap Price (ราคาแลกเปลี่ยน) ในช่วงที่ บมจ.สยามแม็คโคร ออกหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) เพื่อรับโอนกิจการทั้งหมดของกลุ่มโลตัสส์จากบริษัท ซี.พี.รีเทล โฮลดิ้ง จำกัด เท่ากับเป็นการลงทุนเพื่อเริ่มเติบโตไปพร้อมกับบริษัทฯ และ 4) ราคาเสนอขาย 43.50 บาทต่อหุ้น ต่ำกว่าราคาหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 1 สัปดาห์ ซึ่งอยู่ที่หุ้นละ 47 บาท โดยมีส่วนลดประมาณ 7.5% และต่ำกว่าราคาหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 1 เดือน ซึ่งอยู่ที่หุ้นละ 48 บาท โดยมีส่วนลดประมาณ 9.3%
ทั้งนี้ จำนวนหุ้นที่เสนอขายครั้งนี้ไม่เกิน 1,300 ล้านหุ้น และอาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกินไม่เกิน 130 ล้านหุ้น ซึ่งทางบริษัทฯ พิจารณาแล้วว่าเหมาะสม เนื่องจากหลังสิ้นสุดการเสนอขายหุ้น PO จะมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) เกินกว่า 15% ตามเกณฑ์ขั้นต่ำของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และมีผลกระทบต่อสัดส่วนการถือครองหุ้น (Control Dilution) ของผู้ถือหุ้นเดิม และอัตรากำไรสิทธิต่อหุ้นของ MAKRO (EPS Dilution) น้อยกว่า กรณีที่มี Free Float เป็นจำนวนมากกว่านี้
ขณะนี้กลุ่มนักลงทุนหลักแบบเฉพาะเจาะจง (Cornerstone Investors) ซึ่งเป็นนักลงทุนสถาบันชั้นนำมีจำนวน 14 ราย ได้ลงนามในสัญญา Cornerstone Placing Agreement รวมทั้งสิ้นประมาณ 423 ล้านหุ้น มูลค่ารวมกว่า 18,000 ล้านบาท
“กลุ่มโลตัสส์” ช่วยหนุนกำไรเติบโตในระยะยาว
ด้านบทวิเคราะห์จากนักวิเคราะห์ของ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุว่า ภายหลังจากการรับโอนกิจการทั้งหมดของ C.P. Retail Holding หรือ “กลุ่มโลตัสส์” แม้ว่าจะเกิด dilution ของ MAKRO ในระยะสั้นถึงกลาง แต่ตั้งแต่ปี 2567 จะส่งผลให้มูลค่าหุ้น MAKRO เพิ่มขึ้นจากธุรกรรมนี้ 3% ในปี 2567 ภายใต้สมมติฐานว่ากำไรของ Lotus’s จะฟื้นตัว และจะเติบโตถึง 43% ในปี 2566 และเติบโตอีก 13% ในปี 2567