การวางกลยุทธ์ลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงโค้งสุดท้ายของปี 64 ปัจจัยการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญอีกครั้ง หลังข่าวการพบสายพันธุ์ใหม่ที่ชื่อ “โอมิครอน” ที่ปรากฎว่ามีการแพร่ระบาดที่รวดเร็วไปแล้วเกือบ 60 ประเทศทั่วโลก และในประเทศไทยก็พบมีผู้ติดเชื้อแล้วเช่นกัน โดยเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ หากแต่อาการป่วยของผู้ที่ติดเชื้อนี้ กลับอยู่ในระดับที่ไม่รุนแรงและไม่พบการเสียชีวิต ทำให้ตลาดคลายความกังวลไปพอสมควร
มุมมองของ บล.ซีจีเอส ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ระบุว่า การวินิจฉัยความรุนแรงของเชื้อโควิดกลายพันธุ์ Omicron จะรุนแรง หรือน่าจะรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์ Delta ยังคงประเด็นที่ต้องตาม และน่าจะมีผลกระทบไปถึงความมั่นใจของนักลงทุน
อย่างไรก็ดี หากตลาดหุ้นทั่วโลกดีดตัวขึ้นได้จากความคลายกังวล ตลาดหุ้นไทยก็น่าจะดีดตัวกลับขึ้นมาเล่นกรอบที่ 1,620-1,630 จุดได้ โดยมองว่า ช่วงสิ้นปี 2564 ดัชนี SET น่าจะดีดตัวกลับขึ้นไปยืนเหนือ 1,600 จุด หรือที่กรอบ 1,620-1,630 จุดได้จากแรงซื้อคืนหุ้นบางกลุ่ม แต่คงไม่น่าจะทะลุ 1,650 จุดได้ เนื่องจากช่วงต้นปี 2565 ตลาดน่าจะเผชิญกับแรงกดจากแรงขายของ LTF และความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในตลาดหุ้นสหรัฐ
ปี65 หุ้นใหญ่ต้องมา!
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยได้เก็บข้อมูลจาก MSCI ทั้งหุ้นเล็กและหุ้นใหญ่ พบว่าหุ้นเล็กหรือ MSCI Small cap จะขึ้นได้ดีกว่าหุ้นใหญ่ (MSCI Large cap) ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา แต่ที่น่าสังเกตุคือ กรอบการขึ้นของเล็กเทียบหุ้นใหญ่ได้ขึ้นมาที่จุดสูงสุดที่เคยขึ้น จึงมองว่าหุ้นเล็กน่าจะพัก แล้วหุ้นใหญ่น่าจะมาในปี 2565
ดังนั้นจึงแนะนำ “ซื้อเก็งกําไร” หุ้นที่คาดว่าจะมีการเติบโตของผลกําไรปกติ (core profit) สูงในปี 2565, มี upside สูงจากราคาเป้าหมายตามปัจจัยพื้นฐาน และเป็นหุ้นที่ทาง CGS-CIMB ให้คำแนะนําพื้นฐานเป็น “ซื้อ” โดยหุ้นดังกล่าวประกอบไปด้วย
M คาดกําไรเติบโต 2087% yoy (กําไรเติบโตสูงจากฐานที่ต่ำในปี 2564 เนื่องจากมีการ lockdown เกือบ 2 เดือน) และมี upside 17% จากราคาเป้าหมายที่ 62.00 บาท
CRC คาดกําไรเติบโต 388% yoy (พลิกจากขาดทุนมาเป็นกําไร) และมี upside 22% จากราคาเป้าหมายที่ 42.00 บาท
SHR คาดกําไรเติบโต 97% yoy (ขาดทุนลดลง) และมี upside 54% จากราคาเป้าหมายที่ 5.00 บาท
CPALL คาดกําไรเติบโต90% yoy และมี upside 42% จากราคาเป้าหมายที่ 84.00 บาท
CPN คาดกําไรเติบโต 71% yoy และมี upside 16% จากราคาเป้าหมายที่ 64.00 บาท
STEC คาดกําไรเติบโต 68% yoy และมี upside 39% จากราคาเป้าหมายที่ 19.00 บาท
MINT คาดกําไรเติบโต 68% yoy (ขาดทุนลดลง) และมี upside 21% จากราคาเป้าหมายที่ 35.00 บาท
SSP คาดกําไรเติบโต 46% yoy และมี upside 46% จากราคาเป้าหมายที่ 18.80 บาท
KCE คาดกําไรเติบโต 42% yoy และมี upside 37% จากราคาเป้าหมายที่ 127.00 บาท
AMATA คาดกําไรเติบโต 39% yoy และมี upside 21% จากราคาเป้าหมายที่ 24.50 บาท
@mitihoonwealth
https://lin.ee/cXAf0Dp