มิติหุ้น-ภาพรวมตลาดหุ้นไทย ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตาม อย่างผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด Omicron หลังผู้ติดเชื้อในประเทศสูงขึ้น แต่เชื่อว่า Impact จะจำกัด เนื่องจากเชื่อว่าภาครัฐจะไม่กลับไป Lockdown แบบเข้มงวดเหมือนในปี 63-64 เนื่องจากสถานการณ์ปัจจัยแวดล้อมในปัจจุบัน แตกต่างจากในอดีต ทั้งอัตราการฉีดวัคซีนเข็ม 1-2 ที่สูงราว 70% และท่าทีของรัฐบาลทั่วโลกที่ไม่จำกัดกิจกรรมเศรษฐกิจเข้มงวด แต่เลือกจะจำกัดในบางพื้นที่
ปัจจัยหนุนSETในช่วงQ1
ดังนั้นจากปัจจัยข้างต้น “คุณเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม” รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่าภาพรวม SET ในช่วงไตรมาส 1/65 ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง จาก 4 ปัจจัย คือ 1.มี Valuation ในเชิงเปรียบเทียบที่น่าสนใจ คือ ตลาดหุ้นไทยมี Forward Market Earning Yield Gap 2565F อยู่ที่ 4.4% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 3.9% และสูงกว่าตลาดหุ้นสหรัฐมี Forward Market Earning Yield Gap 2565F จะลดลงเหลือ 3.7% (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต) ภายใต้การปรับดอกเบี้ยขึ้น 3 ครั้ง
2..สภาพคล่องในประเทศยังเป็นปัจจัยหนุน คาดอัตราดอกเบี้ยไทย จะคงอัตราดอกเบี้ยต่ำ 0.5% ไปตลอดปี และ เงินฝากออมทรัพย์และฝากประจำในระบบรวมกันล่าสุดอยู่ที่ 16.4 ล้านล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ถือเป็นปัจจัยหนุน3. คาดกำไรบริษัทจดทะเบียนไทย (EPS Growth) ในปี 2565 อยู่ที่ 9.4 แสนล้านบาท หรือ อยู่ที่ 81.8 บาทต่อหุ้น หรือ คาดเติบโต 11.2% สูงกว่าประเทศพัฒนาแล้ว และ 4.คาดการเติบโตเศรษฐกิจไทยปี 2565 อยู่ที่ 3.5% เติบโตเพิ่มขึ้นจาก 1% ในปี 2564
จับจังหวะสะสมหุ้นพื้นฐานแกร่ง
ดังนั้นในปี 65 คาดว่า SET ยังมีทิศทางขาขึ้น มองกรอบดัชนีเป้าปีนี้ที่ 1,810 – 1,860 จุด ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนแนะนำ “ซื้อสะสม” หุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง กำไรเติบโตโดดเด่น และปันผลสูง
หุ้นกำไรเติบโตเด่นในปีนี้ เน้น STEC, IVL, SMT
หุ้นปันผลเด่น เน้น AP, TISCO (จ่ายปันผลปีละ 1 ครั้ง) และ SCC, ADVANC (จ่ายปันผลปีละ 2 ครั้ง)
ยกตัวอย่าง เช่น
***STEC แนะนำ “ซื้อ” เป้าหมาย 18.00 บาท
ราคาหุ้น Laggard กลุ่มรับเหมาก่อสร้างมาก โดยไตรมาส 4/64 คาดกำไรสุทธิ 298 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 119% จากไตรมาสก่อน ตามยอดรับรู้รายได้ที่ฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในงวดไตรมาส 3/63 ที่มีการปิดไซต์ก่อสร้าง บวกกับอัตรากำไรที่ดีขึ้นตามความประหยัดต่อขนาด และยังมีกำไรพิเศษจากการตีราคาอสังหาฯ เพื่อการลงทุนอีก 80 ล้านบาท
ภาพรวมธุรกิจดูดีขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดเซ็นสัญญาก่อสร้างรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงของ ทำให้มี Backlog สูงถึง 1.2 แสนล้านบาท รองรับการสร้างรายได้ที่มั่นคงในช่วง 3 ปีข้างหน้า แถมรับกระแสเชิงบวกจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ภาครัฐที่กลับมา โดยจับมือเป็น JV กับ CK ร่วมเข้าประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้มูลค่า 7.8 หมื่นล้านบาท
***SMT แนะนำ “ซื้อ” เป้าหมาย 8.00 บาท
ทิศทางไตรมาส 4/64 คาดจะเติบโตทำจุดสูงสุดของปี เพราะจากมีคำสั่งซื้อมารองรับทั้งหมดแล้ว 100% และ ปัญหาชิพขาดแคลนที่คลี่คลายลง หนุนแนวโน้มรายได้รวมเติบโตต่อเนื่อง นอกจากนี้ คาดว่า Gross margin ทรงตัวสูงจากทิศทางค่าเงินบาทที่ยังอ่อนตัว ทั้งปี 2564-65 คาดกำไรสุทธิจะเติบโตถึง 179.3%,และ 42.7% ตามลำดับ จากแนวโน้มคำสั่งซื้อจากทั้งลูกค้าใหม่และลูกค้าเก่าเพิ่มขึ้น หนุนรายได้รวมเติบโตถึง 32.6% ,และ 38.7% สู่ระดับ 2.5 พันล้านบาท และ 3.3 พันล้านบาท ตามลำดับ
***SCC แนะนำ “ซื้อ” เป้าหมาย 500 บาท
แนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 4/64 คาดที่ 8,893 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากไตรมาสก่อน ซึ่งไตรมาส 4/64 ทยอยฟื้นตัวดีขึ้นหลัง “โควิด” ด้าน “ธุรกิจปิโตรเคมี” แม้ Spread ผลิตภัณฑ์หลักปรับตัวดีขึ้น แต่ถูกฉุดจากส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมที่ลดลง “ธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง” มีการปรับราคาปูนฯ ขึ้นชดเชยต้นทุนถ่านหิน ส่วน “ธุรกิจ Packaging” รายได้เติบโตชัดเจน โดยเฉพาะในเวียดนาม แต่ด้าน margin ยังมี impact จากสต็อกต้นทุนสูงที่ตกค้างมา โดยกำไรจะกลับมาเติบโตแข็งแกร่งในปี 2566 เป็นต้นไป ภายใต้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยมีปันผลระหว่างทาง 4-5% ต่อปี
🚩🚩ห้อง Official Line ห้องไลน์ฟรี มิติหุ้น ทันทุกสถานการณ์การลงทุน หุ้นเด่น หุ้นเด็ดตลอดวัน กับห้องไลน์ @mitihoonwealth ห้องไลน์ที่นักลงทุนเข้าเป็นสมาชิกฟรี ไม่มีเงื่อนไข เพียงคลิกลิงค์นี้ก็เข้าได้เลย และสามารถส่งต่อให้เพื่อนได้