เมื่อช่วงปีที่ผ่านมา บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU สร้างความฮือฮาในแวดวงการลงทุนหลังประสบความสำเร็จการระดมทุนด้วยการออกหุ้นกู้ที่ลักษณะพิเศษครั้งแรกในประเทศไทยและครั้งแรกของโลกถึง 2 ครั้ง มูลค่าระดมทุนรวมกว่า 11,000 ล้านบาท โดยครั้งแรกออกมูลค่า 5,000 ล้านบาท อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.47 % ต่อปี และครั้งนี้ 2 ได้ออกจำนวน 2 ชุด มูลค่า 6,000 ลบ. อัตราดอกเบี้ย 2.27 %ต่อปี สำหรับหุ้นกู้อายุ 5 ปี และ 3.36 % ต่อปี สำหรับหุ้นกู้อายุ 10 ปี ซึ่งทั้ง 2 ครั้งเสนอขายให้นักลงทุนสถาบัน
ชูความพิเศษของหุ้นกู้ยั่งยืน
ซึ่งความพิเศษของหุ้นกู้ยั่งยืนก็คือ การสร้างผลตอบแทนของดอกเบี้ยหุ้นกู้ยั่งยืนแบบ Step up/ Step down ซึ่งจะเชื่อมโยงกับเป้าหมายด้านความยั่งยืน ใน 3 รูปแบบด้วยกันคือ
1.การขึ้นทะเบียนใน DJSI Emerging Markets และ ได้รับการจัดอันดับเป็น 10 บริษัทแรก (Top 10 companies) ของ DJSI Food Products Industry Index,
2.การลดความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด ซึ่งรวมถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง (Scope 1) และ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (Scope 2) ให้ได้ร้อยละ 4 ต่อปี และ
- การเพิ่มการตรวจสอบด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์ และ/หรือ มีผู้สังเกตการณ์ตรวจสอบบนเรือประมงปลาทูน่า
โดยผู้ลงทุนในหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืนของบริษัทในครั้งนี้จะมีโอกาสได้รับการปรับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง ในปี 2566 และ ปี 2569
สร้างความน่าเชื่อถือผ่านสายตานักลงทุนสถาบัน
จนสามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้กับนักลงทุนสถาบันชั้นนำในประเทศไทย อาทิ Pension Fund อย่าง กบข. และกลุ่มบริษัทประกันอย่าง บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) การันตีด้วยอันดับเครดิตจากทริสเรตติ้งอยู่ที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “บวก” และอันดับเครดิตจาก JCR ที่ระดับ “A-“ แนวโน้ม “คงที่” (ซึ่งเป็นระดับเดียวกับประเทศไทย) ซึ่งสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่เข้มแข็งของไทยยูเนี่ยนในฐานะผู้ผลิตอาหารทะเลแปรรูปชั้นนำของโลกที่มีสถานะการเงินและธุรกิจที่แข็งแกร่งและมั่นคง
หุ้นกู้ยั่งยืนถือเป็นอีกก้าวสำคัญของบริษัท
“เราให้ความสำคัญกับการทำงานด้านความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด ซึ่งการออกหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืนนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญของนโยบายของบริษัท Healthy Living, Healthy Oceans ในการที่จะดูแลความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนและความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเล ซึ่ง Blue Finance ครั้งนี้ ยังสะท้อนให้เห็นว่าเราสามารถร่วมกับภาคการเงินในการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ช่วยให้เราสามารถอนุรักษ์ท้องทะเลได้อย่างต่อเนื่อง ไปพร้อมกับการผลิตสินค้าอาหารที่ดีมีคุณค่าต่อสุขภาพให้กับผู้บริโภคทั่วโลกไปพร้อมกัน” นายยงยุทธ เสฏฐวิวรรธน์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการบริหารการเงินกลุ่มและศูนย์บริการร่วมทางการเงินบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าว
สร้างยอดขายระดับแสนล้าน
ไม่เพียงเท่านี้ TU ยังจัดว่าเป็นบริษัทชั้นนำของโลกในธุรกิจผู้ผลิตอาหารทะเลและเป็นบริษัทที่ผลิตทูน่ากระป๋องที่ใหญ่ที่สุดของโลก ด้วยยอดขายระดับกว่ 1.3 แสนล้านบาท (ในปี 2563) และมีกำไรสุทธิ 6,246 ล้านบาทเติบโต 64 % และงวด 9 เดือนของปี 64 ก็ยังสร้างยอดขายได้กว่า 1 แสนล้านบาท กำไรสุทธิ 6,083 ล้านบาท จัดว่าเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้นไทยที่สร้างผลกำไรได้ดีและที่สำคัญยังเติบโตต่อเนื่องด้วย ส่วนคาดการณ์แนวโน้มผลงานไตรมาส 4/64 ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า แนวโน้มกำไรไตรมาส 4 จะโดดเด่นที่ราว 1.8-1.9 พันล้านบาท ดีกว่าเดิมที่ทำได้ราว 1.4-1.5 พันล้านบาท ซึ่งถือว่าทำได้ดีถึงแม้จะเป็นช่วง Low Season และยังเผชิญกับสภาวะราคาต้นทุนทูน่าสูงสุดในรอบ 3 ปีครึ่ง ค่าระวางเรือก็ยังจะทำ New High และราคาอลูมิเนียมก็ยังอยู่ในระดับสูงก็ตาม
กูรูมองเป้าราคาอนาคต 30บ.
เนื่องจาก TU ยังรับอานิสงส์ค่าเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง และมีการปรับขึ้นราคาสินค้าในกลุ่ม Frozen หรืออาหารทะเลแช่แข็ง ตามอัตราเงินเฟ้อ ประกอบกับ Demand ที่ดีขึ้นในต่างประเทศโดยเฉพาะในสหรัฐ และการฟื้นตัวของ Pet Food หลังโควิดคลี่คลาย ส่วน Ambient หรือกลุ่มทูน่ากระป๋องแม้รายได้จะเริ่มชะลอเพราะมีฐานรายได้ที่สูงก็ตาม แต่ก็เริ่มเจรจาปรับขึ้นราคาสินค้าแล้วเช่นกัน จึงคาดการกำไรสุทธิปี 2564-2565 ที่ 7.45 พันล้านบาทและ 7.63 พันล้านบาท ตามลำดับ จึงแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 30 บาท อิง PE 20 เท่า
เปิดกลยุทธ์ความยั่งยืนสู่เป้าหมายที่หวังไว้
นอกจากนี้ TU ยังตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและห่วงโซ่อุปทาน (SeaChange®) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ความยั่งยืนของบริษัท ครอบคลุมตั้งแต่วิธีการดูแลท้องทะเลไปจนถึงการจัดการของเสีย ต้องสามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์อาหารทะเลของบริษัทได้อย่างเต็มรูปแบบ และยังสะท้อนถึงแผนงานของบริษัทที่มีเป้าหมายการจัดหาปลาทูน่าอย่างยั่งยืนให้ได้ 100% สำหรับสินค้าภายใต้แบรนด์ TU รวมถึงเป้าการลด Carbon Intensity ให้ได้ปีละ 4 % ต่อเนื่องจากที่ลดไปได้แล้ว 28% ช่วงที่ผ่านมา
ซึ่งเสียงสะท้อนจากนักวิเคราะห์ก็พอจะสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทที่สามารถยืนหยัดบนเวทีการแข่งขันระดับโลกด้วยแม้จะยึดหลักกลยุทธ์การบริหารธุรกิจอย่างยั่งยืน (SeaChange®) ซึ่งการทำงานด้านความยั่งยืนของไทยยูเนี่ยนเป็นรูปธรรมและลงมือทำจริงจนสามารถนำมาเป็น KPIs ที่เชื่อมโยงกับอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อและหุ้นกู้ Blue Finance ได้ด้วย จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมจึงประสบความสำเร็จการออกหุ้นกู้ยั่งยืนครั้งแรกในไทยและโลกได้
🚩🚩ห้อง Official Line ห้องไลน์ฟรี มิติหุ้น ทันทุกสถานการณ์การลงทุน หุ้นเด่น หุ้นเด็ดตลอดวัน กับห้องไลน์ @mitihoonwealth ห้องไลน์ที่นักลงทุนเข้าเป็นสมาชิกฟรี ไม่มีเงื่อนไข เพียงคลิกลิงค์นี้ก็เข้าได้เลย และสามารถส่งต่อให้เพื่อนได้