ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.ไทยออยล์ (TOP) โดย บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุว่า EIA คาดอุปสงค์น้ำมันดิบตลาดโลกปี 65 ว่า +3.5 ล้านบาร์เรลต่อวันอยู่ที่ 100.5 ล้านบาร์เรลต่อวันขณะที่อุปทาน +6 ล้านบาร์เรลต่อวันอยู่ที่ 101.5 ล้านบาร์เรล ซึ่งการเพิ่มขึ้นของปริมาณน้ำมันจะอยู่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 จากการผลิตเพิ่มขึ้นของสหรัฐเป็นหลักซึ่งคาดจะเพิ่มเป็น 12 ล้านบาร์เรลต่อวัน +7% y-y ส่วนกลุ่มโอเปกการขยายกำลังการผลิตยังเป็นไปตามแผนที่วางไว้ขณะที่อุปสงค์การใช้น้ำมันสำเร็จรูปทั้งแก๊สโซลีนและดีเซลปัจจุบันได้กลับสู่ภาวะปกติก่อนเกิด COVID-19 แล้วหลังการคลายล็อกดาวน์ในประเทศต่าง ๆ ขณะที่ในส่วนน้ำมันเครื่องบิน (Jet) คาดจะกลับสู่ภาวะปกติได้ราว2H66 ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างรัสเซียและยูเครนส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการที่รัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปกที่มีกำลังการผลิตราว 10 ล้านบาร์เรลต่อวันและมีการส่งออกราว 5% ของอุปทานน้ำมันในตลาดโลก รวมถึงการผลิตแก๊สธรรมชาติเพื่อส่งออกไปยุโรปด้วย (โดยตลาดส่งออกหลักคือจีนและยุโรป คาดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปปรับขึ้นได้จากการที่ยุโรปแบนการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซียด้วย
ปรับโครงสร้างการเงินทั้งขายหุ้น GPSC และเพิ่มทุน dilution 12%
สำหรับแผนการปรับโครงสร้างการเงินของบริษัทนั้นจะทำโดย 1) ขายหุ้น GPSC 10.78% (304.1 ล้านหุ้น) ให้กับกลุ่ม PTT และ TOP จะรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนและกำไรจากการเปลี่ยนแปลงเงิน ลงทุนใน GPSC ราว 11,000 ลบ.คาดจะรับรู้ รายการดังกล่าวใน 2Q65 นี ้2) เพิ่มทุนโดยจัดสรรหุ้นจำนวนสูงสุดที่ 275.12 ล้านหุ้นรวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Green shoe) จำนวน 35.9 ล้านหุ้นแต่การจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 239.2 ล้านหุ้นนั้นเป็นการเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 80% และส่วนที่เหลือ20% จะจัดสรรให้กับนักลงทุนทั่วไป ซึ่งหากพิจารณาจากจำนวนเงินที่ต้องการเพิ่มทุนและจำนวหุ้นที่จะเสนอขายนั้น ทางฝ่ายคาดอัตราส่วนการเพิ่มทุนสำหรับผู้ถือหุ้นเดิมจะอยู่ที่ราว 8 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ในส่วนราคาเสนอขายนั้นคาดไม่ต่ำกว่า 48-50 บาท/หุ้นและเกิด dilution ราว 12% จากการเพิ่มทุนซึ่งคาดกระบวนการเพิ่มทุนจะแล้วเสร็จภายในปีนี้
คาดผลดำเนินงานปี 65 เพิ่ม 17% y-y
คาดการดำเนินงานกลุ่มอะโรเมติกส์, กลุ่มน้ำมันหล่อลื่น, โอเลฟินส์คาดจะอ่อนลงตามส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลงจากอุปทานที่จะเพิ่มขึ้นหลังโรงกลั่นส่วนใหญ่กลับมาผลิตอีกครั้ง รวมถึงการเริ่มทยอยผลิตเพิ่มขึ้นจากความล่าช้าที่เกิดขึ้นจาก COVID-19 ที่เกิดขึ้น ในทางกลับกันคาดธุรกิจในส่วนโรงกลั่นการดำเนินงานจะฟื้นตัวต่อหลังจากเห็นการฟื้นตัวตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 64 แล้วจากอุปสงค์การใช้ที่กลับมาก่อน COVID-19 แล้วทั้งในส่วนแก๊สโซลีนและดีเซล ทางฝ่ายได้ปรับประมาณการผลการดำเนินงานปี 65 ขึ้นจากเดิมแม้คาดระยะสั้นจะได้รับผลจากต้นทุน crude premium ที่สูงขึ้น จากอุปทานที่ตึงตัว แต่จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ยังดีทำให้ GRM ยังยืนได้ในระดับสูงทางฝ่ายปรับประมาณการกำไรสุทธิเป็น 14,717 ลบ.เพิ่มขึ้น 17% y-y ปรับสมมติฐาน GRM เป็น 6.3 เหรียญ/บาร์เรล น้ำมันดิบดูไบ 90 เหรียญ/บาร์เรล
คงแนะนำ “ซื้อ” ปรับราคาพื้นฐานเป็น 63.50 บ.
ทางฝ่ายยังมีมุมมองบวกต่อการดำเนินงานกลุ่มโรงกลั่นจากอุปสงค์ฟื้นตัว ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ปรับราคาพื้นฐานขึ้นเป็น 63.50 บ./หุ้น
@mitihoonwealth
https://lin.ee/cXAf0Dp